ได้มีโอกาสไปดูภาพยนตร์สารคดี ในเทศกาลภาพยนตร์เพื่อสังคมมาเรื่องนึง ชื่อเรื่องว่า Urbanized เป็นสารคดีที่เล่าเรื่องเกี่ยวกับการพัฒนาเมืองในแง่มุมต่างๆทั่วโลก ที่จับเอาประเด็นมาเชื่อโยงต่อๆกัน ได้อย่างน่าสนใจในแง่มุมของการกระจายตัว หรือแนวคิดหลากหลายอย่าง หนังเกริ่นด้วยหลักการพื้นฐานของการพัฒนาและขยายตัวของเมือง คือจะต้องวางแผนจัดการอย่างรัดกุม เพื่อรองรับการเติบโตและการเข้ามาอยู่ในเมืองของประชากรที่จะมีเพิ่มขึ้นๆ วางแผนเพื่อให้คุณภาพการอยู่อาศัยดีขึ้นและลดปัญหารื่องคุณภาพการอยู่อาศัยของผู้อยู่อาศัยเดิม โดยเริ่มเล่าเรื่องจากเมืองมุมไบ เมืองที่จะกลายเป็นเมืองที่หนาแน่นที่สุดในโลกในอนาคต แต่เมืองขาดการวางแผนจัดการที่ดี ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการวางแผนพัฒนาเมือง ทำเป็นลืมพวกเขาไปและปล่อยให้อยู่กับสลัมกันอย่างแออัด แนวคิดแปลกๆอย่างการจำกัดสุขาภิบาล โดยจากการศึกษาพบว่า1ห้องน้ำควรรองรับสัก50คนหรือ10ครัวเรือน แต่ที่มุมไบรองรับไปถึง600คน ซึ่งลดมาจาก900คนต่อห้องน้ำแล้ว โดยภาครัฐมีแนวคิดที่จะจำกัดการย้ายเข้าสู่ตัวเมืองโดยการจำกัดห้องน้ำ! อาสาสมัครจึงกัดไปเบาๆว่าอย่างกับคนจะย้ายเข้ามาเพื่อเข้าห้องน้ำงั้นล่ะ เป็นการแสดงให้เห็นกลายๆว่าเป้นการแก้ปัญหาที่ไม่ตรงจุดเลย ในขณะที่ประเทศชิลี ได้มีหน่วยงาน(?)ที่ลุกขึ้นมาจัดการเรื่องนี้ ทำการพัฒนาที่อยู่อาศัยอย่างบ้านเอื้ออาทร โดยใช้การออกแบบเข้ามาช่วยจัดการภายใต้งบประมาณที่จำกัด และจัดทำไม่ใช่แค่การฟังเสียงหรือทำตามนโยบายนักการเมือง แต่เป็นการคิดถึงชุมชนที่อยู่อาศัยจริงๆ ผู้ออกแบบเข้าใจดีว่าความเป็นชุมชนไม่สามารถมีแค่ที่อยู่อาศัยได้ แต่ต้องประกอบไปด้วยหน่วยย่อยอื่นๆของสังคมอีก หัวใจสำคัญคือเรื่องทำเลที่ตั้ง ฉะนั้นงบประมาณจึงถูกแบ่งมาสำหรับที่ดิน และงานระบบ เหลือจึงเป็นค่าก่อสร้างบ้าน โดยผู้ออกแบบใส่ใจชุมชน และรับฟัง เปิดกว้างให้แก่ผู้อยู่อาศัย โดยจัดาร้างแบบครึ่งเดียว มีเฉพาะสิ่งที่จำเป็นให้ ที่เหลือเป็นไอเดียและความฝันของผู้อยู่อาศัยที่จะตกแต่งกันต่อไปตามแต่ละคน อ่างอาบน้ำหรือที่ทำน้ำร้อน? ถามนักการเมืองนักเคลื่อนไหว ก็เลือกเครื่องทำน้ำอุ่นกัน แต่กับชาวบ้านผู้ยากไร้ที่ไม่เคยมีพื้นที่ส่วนตัวเลย พวกเขาจะต้องการอะไรมากไปกว่าอ่างอาบน้ำล่ะ พสกเขาจะต้องการเครื่องทำน้ำร้อนไปทำไม ในเมื่อส่วนใหญ่แทบจะไม่มีเงินค่าแก้สมาจุดเคื่องทำน้ำร้อนด้วยซ้ำ จากแนวคิดของการพัฒนาพื้นที่ โดยมีทุกอย่างอยู่ในชุมชน ไล่ไปสู่แนวความคิดของการพัฒนาเมืองโดยแยกส่วนต่างๆออกจากกัน ซึ่งนำมาสู่การพัฒนาเมืองบราซิเลีย ในบราซิล ที่ทุกอย่างถูกวางผังออกแบบอย่างสวยงาม …
โพสว่าด้วยการอวยละครฝันเฟื่อง ละครเรื่องแรกในรอบหลายปีที่ติดและดูอย่างจริงจังตั้งใจทุกตอนเลย ทั้งๆที่ตอนเริ่มต้นนี่แค่บังเอิญเปิดผ่านมาเจอ และรู้สึกว่ารีเมคเร็วจังเลย แต่พอดูๆไปเรื่อยรู้ตัวอีกที จันทร์-อังคารนี่มานั่งรอหน้าทีวีเรียบร้อยแล้ว เวอร์ชั่นนี้มีการปรับบทให้ทันสมัยมากขึ้น และเข้ากับวัฒนธรรมปัจจุบันมากขึ้น ทั้งการติดโซเชียลเน้นแชท ตัวการ์ตูนสติ้กเกอร์ เข้าใจว่าจังหวะในเรื่องพยายามจะทำออกมาเป็นการ์ตูนและคอมเมดี้ ซึ่งก็ทำออกมาได้ตลก การ์ตูนสมความตั้งใจมากเลยนะ ยิ่งช็อตทำภาพแบบเป็นซีนในการ์ตูน ตลกมากหน้าเหวอ หน้าอึ้งได้ใจเชียว อีโมที่ใส่มาตอนแรกดูน่ารำคาญแต่ตอนนี้ดูเฉยๆล่ะ นอกจากความพยายามและแนวเรื่องที่ออกเป็นคอเมดี้ สิ่งหนึ่งี่ทำให้ฝันเฟื่องเป็นละครตลกมาก คือนักแสดง พูดเลย!! ทุกคนเล่นเข้าขากันมาก ไม่มีใครเล่นแข็งหรือขัดหูขัดตาเลย ทุกคนลื่นนนนนไหลลลลล ดูเพลินมากกก พอดูสัมภาษณ์เบื้องหลังว่าถ่ายทำอย่างสนุกมากนี่เชื่อนะ เพราะรู้สึกสัมผัสควรมครื้นเครงรื่นเริงจากเนื้องานที่ออกมาได้เลย โปรดักชั่น โปรดักชั่นนี่ก้ำกึ่งมากเลยระหว่างดีและกลางๆ เพราะฉากเปิดตัวนางเอกและพระเอก ที่เจอกันในงานเลี้ยงหรู ที่ควรจะโปรดักชั่นฉากอลังๆรวยๆ อย่างฉากเปิดโรงแรมนั้นเซทออกมาได้ง่อยมากกกกกกกกถึงมากที่สุด เข้าขั้นป่วยเลยทีเดียว ไม่สัมผัสถึงความหรูหราเลย อารมณ์เหมือนฉากในละครซิทคอมมากๆ แต่มาได้คะแนนโปรดักชั่นตีกลับขึ้นมาในฉากงานวันเกิดคุณหญิงป้า
PK หนังที่จ่ายแพงกว่าปกติ และรวมค่ารถในการถ่อไปดูยังคุ้มเกินค่าตั๋ว PK หนังอินเดียที่กระแสบอกต่อต้องมาแรงมากๆแน่ถ้าคนได้ไปดูมา (ซึ่งเราก็ไปดูตามคำบอกต่อรีวิวมาเหมือนกัน) ซึ่งพบว่าหนังดีมากกกกกกกกก ถึงมากที่สุด แม้ว่าหนังจะเข้าจำกัดโรงแค่เมเจอร์สุขุมวิทและพระรามสาม รวมกับค่าความเฉพาะกลุ่มที่ตั๋วแพงกว่าปกติที่ 250 (ได้ราคาลดมาที่ 230) รวมกับการที่ต้องนั่งรถเพื่อไปดูก็ไม่ได้ทำให้ความสนุกหรือความรู้สึกคุ้มค่าที่ได้ไปดูลดน้อยลงเลยสักนิด กลับกันกลับรู้สึกว่าถ้าไม่ได้ถ่อมาดู ไม่ยอมจ่ายมาดูจะเป็นอะไรที่เสียใจมาก หนังว่าด้วยเรื่องของมนุษย์ต่างดาวที่เดินทางมาทำวิจัยที่โลกมนุษย์และถูกขโมยรีโมทส่งสัญญาณกลับบ้านไปจนได้มาเจอกับนางเอกที่ทำงานเป็นนักข่าวแล้วเรื่องของการเริ่มต้นตามเอารีโมทคืนก็เริ่มขึ้นพร้อมกับการตั้งคำถามเกี่ยวกับความเชื่อ เรื่องราวความวุ่นวายของพระเอกเกิดจากโจรที่ขโมยรีโมท ที่เป็นสร้อยวิบวับไปและเอาไปขายให้แก่นักบวข? ที่เป็นผู้นำลัทธิซึ่งเอาไปหลอกลวงชาวบ้านต่อว่าเป้นของศักดิ์สิทธิ์ โดยการเริ่มต้นตามหารีโมทของพระเอกเริ่มขึ้นพร้อมกับความรักของนางเอกชาวอินเดียและหนุ่มปากีสถาน (ที่ความขัดแย้งระหว่างเชื้อชาติ ความเชื่อ ศาสนาพุ่งสูงเลยทีเดียว)และนางเอกถูกคำทำนาย(ของนักบวชที่เอาสร้อยพระเอกไป)มาสั่นคลอนความรักกับแฟนหนุ่ม นี่คือสองเส้นเรื่องของหนังเรื่องนี้ เป็นจุดเริ่มต้นของความวุ่นวายทั้งหมด หนังเล่าเรื่องของพระเอกที่ต้องการตามหารีโมทในนิวเดลฮี เมืองใหญ่คนระดับสิบล้าน ด้วยความว่างเปล่า ใครเอาไป คนนั้นคือใคร อยู่ที่ไหน เรียกได้ว่ายิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรเลยทีเดียว และทุกคนที่พระเอกไปพบก็ต่างบอกพระเอกว่าต้องไปให้พระเจ้าช่วยแล้วแหละ ซึ่งทำให้พระเอกเริ่มออกตามหาพระเจ้า แต่ปัญหาคือ พระเอกต้องตามหาพระเจ้าองค์ไหนล่ะ?
Civilization V เป็นเกมดังมาก…แต่เราไม่เคยรู้จักมาก่อน จนกระทั่งมาเห็นโปรโมชั่นในSteam เลยลองซื้อมาเล่น พอลองเล่นแล้วรู้เลยว่าทำไมมันดัง มันเป็นเกมที่เล่นเพลินแท้ ยิ่งถ้าไม่มีธุระต้องทำอะไรต่อนะ กดเล่นไปเรื่อยๆๆๆๆ อย่างเพลิน หมดเวลาไปเป็นวันๆโดยไม่รู้ตัวเลยทีเดียว Civilization Vเป็นเกมเกี่ยวกับอะไรล่ะ?
เนื่องจากกระแสหนังดังมาก แต่กระแสหนังสือว่าควรอ่านก่อนไปดูหนาแน่นมาก ว่าเป็นสิ่งที่ควรและควรทำก่อนเข้าไปดู เลยไปจัดการหามาอ่านซะ เตรียมพร้อมก่อนตีตั๋วเข้าไปดู ซึ่งพออ่านแล้วก็ได้แต่อุทานรัวๆว่า เรือหาย เรือหาย เรือหาย!!!!!!! สรุปเรื่องราวย่อๆคือนางเอกหายตัวไปในวันครบรอบแต่งงานปีที่ห้าและพระเอกกับตำรวจก็สืบสวนหานางนั่นแหละ แต่ความสนุกอยู่ระหว่างการดำเนินเรื่องเพื่อหาตัวนางไปเรื่อยๆ โดยเป็นการเล่าเรื่องผ่านมุมตัวละครนั้นๆ ซึ่งก็คืออีคู่ผัวเมียนั่นหละ (อุ๊ปส์ เผลออินไปหน่อย แต่ถ้าอ่านจบก็คงรู้สึกไม่ต่างกันล่ะนะ) โครงเรื่อง ทำได้ดีมากเลย น่าสนใจมากๆ มีการทิ้งปริศนาไว้เล็กน้อยตลอดทางในภาคแรก และเริ่มมาพีคสุด ตอนภาคสอง อารมณ์เหมือนปีนเขาไปเรื่อยๆจะถึงยอด (หนังสือแบ่งออกเป็นสามภาคในเล่มเดียว) บวกกับสำนวนการเขียน(แปล) ที่ทำได้ดีมากเลย อ่านไปแล้วก็ลุ้นไปเพลินมากๆ แม้สุดท้ายตอนจบภาคสามจะเป็นอารมณ์แบบขึ้นไปแล้วพบว่าเอ่อ……(ใครเคยอ่านซีรี่ย์ชุดเดอะริงมา ขอให้นึกถึงอารมณ์ตอนที่อ่านไปถึงภาคลูป…เคว้งคว้าง อย่างนั้นแหละ) แต่เพราะตอนจบแบบนี้แหละ ที่อาจจะทำให้หนังสือดังก็ได้ เพราะมันก็ไม่ใ่ชตอนจบที่จะเป็นไปไม่ได้เลย (แม้มันจะเหลือเชื่อไปหน่อย) แต่ก็ไม่ใช่จบสไตล์อเมริกันจ๋า แบบที่สุดโต่งไปเลย คือมันก็จบไปแบบเรียบๆนั่นหละ จบแบบที่เราคิดในใจว่า เออ เอางี้เลยน่ะ จะจบงี้เลยนะ อ่านจบแล้วพูดได้แค่ว่า สามีภรรยาคู่นี้นี่มันคู่แท้กันชัดๆ นิยามใหม่ของคำว่าเกิดมาเพื่อกันและกันเลยทีเดียว เรทความน่าอ่าน ดีงามเหมาะแก่การใช้เวลามาก
สารภาพว่าตอนเข้าไปดูนี่ไม่คิดอะไรเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่านี่มันเรื่องเกี่ยวกับอะไรเนี่ย แต่พอดูไปเรื่อยๆ อ้อนี่มันหนังบู๊ขายพี่คีอานู รีฟส์นี่เอง หนังว่าด้วยชายผู้ซึ่งเมียตาย และถูกลูกมาเฟียรัสเซียขโมยรถและฆ่าหมาที่เมียทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าตาย และชายผู้นั้นลุกมาแก้แค้น แต่เผอิญชายคนนั้นเป็นนักฆ่าขั้นเทพนี่สิ อย่างนี้ไม่ถือว่าสปอยล์นะ เพราะทั้งเรื่องมันมีแค่นี้จริงๆ คือบทนี่เขียนมาเหมือนจะเป็นหนังตลกเลย เป็นหนังบู๊มาเฟียที่ไม่ได้ขายความซีเรียสเท่าไหร่ บางอย่างเขียนมาให้มันดูตลกแบบมาเฟียรัสเซียเจ้าพ่อผู้ยิ่งใหญ่กลัวอดีตลูกน้องอะไรงี้ ถือว่าไปดูเอาฉากบู๊เท่ๆในเรื่องเอา อยากรู้ว่าทำสำเร็จไหมต้องลองไปดูกัน สิ่งดีงามของหนังเรื่องนี้คือบู๊กันด้วยปืนในชุดสูท ซึ่งชอบมาก เพราะหนังมาเฟียส่วนมากชอบใส่แจ็กเก็ตหนังและเสื้อกล้ามขาวตีกันด้วยไม้และชกกัน คือดูแล้วรู้สึกเหมือนกระดูกจะหักตาม แต่หนังเรื่องนี้ไม่เลย ยิงกันจะจะ และพระเอกยิงได้ฉลาดมาก ไม่มีนะมายิงอก ยิงพลาดแล้วจะลุกขึ้นมาได้ พระเอกยิงหัวเกือบหมดเลย ก็แนวไล่ฆ่าไล่ถล่มกันทั้งเรื่องนั่นแหละ แต่คิวบู๊ดูแล้วมันส์มาก หลายจังหวะเท่มากชอบบบบ แต่ถ้าคาดหวังบู๊ล้างผลาญแบบไมเคิล เบย์ ระเบิดมันทุกอย่างหนังเรื่องนี้อาจจะไม่ตอบโจทย์นะ คาดหวังการแสดงดราม่าเว่อวังอะไรนี่ไม่มีนะ เรทความน่าดู เป็นหนังที่เหมาะแก่การดูวันพุธ
The Fault In Our Stars…Okay… หนังดีมากกกกก คืออินมากกก หนังเล่าเรื่องของเฮเซลสาวน้อยที่เป็นมะเร็งปอดและไปพบรักกับเจ้าหนุ่มวอเตอร์สผู้เอาชนะมะเร็งด้วยการตัดขาออกไป และทั้งคู่ตั้งใจออกตามหานักเขียนคนโปรด หนังเล่าเรื่องราวความรักของทั้งคู่ผ่านเรื่องราวตั้งแต่เริ่มรู้จักกัน เริ่มตกหลุมรักและถอยห่างและเข้ามาคู่กัน พร้อมตอนจบสุดเศร้า เป็นพล็อตหนังที่พลิกไปจากที่อ่านเรื่องย่อไว้ เรียกว่าไม่ได้เตรียมใจมากับตอนจบแบบนี้ ทำให้ยิ่งรู้สึกเศร้ามากๆ บทหนังเรียบง่ายแต่กินใจและไม่เวิ่นเว้อในส่วนของเรื่องอาการป่วย คือชอบตรงที่ไม่ได้ดราม่าเรื่องอาการป่วยและฟูมฟาย ไม่ได้มาแบบที่ว่าต้องมีหวัง ต้องหาย ต้องรอด แต่คือทุกคนเข้าใจและยอมรับมัน ยอมรับความที่ต้องพรากจากกัน และนำเสนอออกมาในแง่มุมที่สวยงามระหว่างกัน พร้อมบทพูดที่เรียกน้ำตามากๆ ยิ่งค่อยๆซึมค่อยๆอินไปเรื่อยๆ พอมาถึงจุดพีคนี่ก็อื้ออหือเศร้าซะ แต่มันเป็นการมาถึงจุดพีคแบบค่อยๆไต่ คือไม่ได้ไปถึงยอดแต่อยู่ใกล้สุดและค่อยๆคงระดับไปเรื่อยๆจนจบ ซึ่งแบบนี้ยิ่งทำให้อินและอารมณ์คงอยู่นานมากๆ (ข้างๆนี่ร้องไห้ไม่หยุดเลยทีเดียวแทบจะยื่นทิชชู่ให้) พระเอกเล่นดีมาก เสียงมีชีวิตชีวาแสดงอารมณ์มากๆ พระเอกอาจจะไม้หล่อมาก แต่จากบทและการแสดงแล้ว อื้อหืออ ดูดีขึ้นมา70%เลยทีเดียว The fault in our star เป็นหนังสวยงามที่ดูเพลินดูแล้วอินมาก ดูแล้วอยากไปซื้อหนังสือมาอ่านเลย แต่ไม่เหมาะกับคนที่ต้องการดูเพื่อผ่อนคลายตลกเฮฮา เพราะมันจะอินและฝังหัวมากๆ สิ่งที่ชอบเป็นพิเศษในเรื่องคือเสียงพระเอกตอนเรียกนางเอก และรอยยิ้มพระเอก สดใสมาก ไม่รู้เชียร์ตอนนี้จะช้าไปไหม แต่ถ้ามีโอกาสอย่าลืมแวะไปแลกันนะ
ละคอนถาปัดจุฬา 57 “Sherlock Holmes” To where it all began ความรู้สึกหลังดูจบ…..เออก็ดีแหะ เป็นละคอนที่ได้มาดูโดยไม่ตั้งใจ และก็มาแบบไม่คาดหวังอะไรเท่าไหร่เคยดูมาหลายครั้งรู้สึกตันกับละคอนถาปัดจุฬาแล้วในระดับนึงจากชอบ จนเดาทาได้และไม่ชอบเท่าไหร่ มาคราวนี้ก็ไม่ได้คาดหวังอะไร (ซึ่งเป็นสิ่งที่คนมาดูควรทำเป็นอย่างยิ่ง) บท….. มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางใหม่ๆ จากการเน้นเรื่องรักตัวเอกชายหญิง แต่มาปรับเป็นเรื่องของการสืบสวน อ้างอิงจากนิยายดังอย่่างเชอร์ล็อก โฮมส์มา โดยรวมๆก็ถือว่าดีดูไม่น่าเบื่อมาก และเป็นสิ่งที่ชอบที่มีการฉีกแนวใหม่ๆออกไปบ้าง
สี่แผ่นดิน เดอะมิวสิคัล ดีเหมือนเดิม แต่ไม่ชอบเหมือนเดิม….. หลังจากเพิ่งเล่นไปไม่นานมาก คุณบอยก็เอาสี่แผ่นดินกลับมารีสเตจอีกครั้ง ในความรู้สึกส่วนตัว ว่าเร็วมากและเร็วเกินไปที่จะเอาละครเวทีที่เพิ่งเล่นเป็นร้อยรอบ คนยังไม่ทันลืมยังไม่ทันคิดถึงเอากลับมาเล่นใหม่อีกแล้ว แถมแคสเดิมเกือบหมด เรียกได้ว่า บทแม่พลอยของนกสินจัย และคุณเปรมของกันคงจะผูกติดไปกับทั้งสองคนไปตลอดล่ะ เหมือนช่วงที่ผ่านมาแค่พักเบรกเท่านั้น และก็กลับมาเล่นต่อกัน ด้วยความที่แคสเดิมเกือบหมด เพลงอะไรก็คงเดิม เลยไม่ได้คาดหวังอะไรมากตอนไปดู แม้จะซื้อบัตรตั้งแต่รอบแรกๆที่เปิดแสดงก็ตาม ฮ่าๆ ถ้าดูจากการเอากลับมาทำใหม่รอบนี้ ยากมากนะที่จะพูดถึงสี่แผ่นดินแล้วจะไม่แตะเรื่องการเมืองเลย(แต่ก็ได้พยายามอย่างเต็มที่แล้วที่จะไม่แตะ พยายามตัดทิ้งไปเกือบหมดนะ) เพราะแกนหลักของเรื่องก็น่าจะเป็นเรื่องนี้ละนะ เป็นการเปลี่ยนผ่านที่เกิดขึ้น จะให้ไปเน้นสนใจแต่เรื่องรักกุ๊กกิ๊กของคุณเปรมกับแม่พลอยวัยสาวอย่างเดียว ก็คงสร้างออกมาได้แค่องก์แรกเท่านั้น เข้าใจว่าทำเพื่อขายความบันเทิงเลยไม่เน้นเรื่องพาทการเมืองเท่าไหร่ เลยทำให้บทอ่อนแรงตรงจุดยืนและเหตุผลของทั้งสองฝ่ายพอๆกัน ส่วนตัวแล้วสี่แผ่นดินเวอร์ชั่นนี้เป็นสี่แผ่นดินที่มีความเป็นโมเดิร์นมากขึ้น หลายๆอย่างที่เกือบเหมือนเดิม แต่ให้ความรู้สึกที่ไม่เหมือนเดิม บริบทรอบตัวเปลี่ยนไปคนดูก็ไปผ่านอะไรมามากขึ้นเหมือนกัน การจะดูแล้วจะได้ความรู้สึกแบบเดิมคงเป็นเรื่องยาก ถ้าดูไม่คิดอะไรก็คงชอบ แต่ถ้าคิดไปรอบๆก็คงพูดว่าชอบได้ไม่เต็มปากเท่าไหร่ “แล้วผมทำผิดตรงไหน?”
หนังเรื่องที่สามของเทศกาลหนังยุโรปคราวนี้ หนังจากเนเธอร์แลนด์ เป็นหนังที่บอกเล่าเรื่องราวของเด็กสาวในสลัมแห่งหนึ่งของฟิลิปปินส์ที่หันเห(?)ไปสู่การเป็นโสเภณีเด็กและเหตุการณ์ต่างๆก็พากันเกิดขึ้น จนไปถึงจุดจบที่เศร้าใจ หนังเล่าเรื่องของเด็กหญิงคนนึงนามว่าลิเลต ที่มีชะตาชีวิตอย่างซวยตามพล็อตละครไทยเรื่องพ่อเลี้ยงลูกเลี้ยงเลยเพียงแต่ลิเลตไม่โชคดีเท่านางเอกละครไทยเท่านั้น เพราะลิเลตถูกพ่อเลี้ยงข่มขืนและนอกจากนั้นแม่ของลิเลตเองก็พยายามจะขายลูกกินให้ไปนอนกับผู้ชายแก่ๆ ซึ่ทั้งหมดนี้ก็เพียงพอแก่การผลักให้ลิเลตต้องหนีออกไปอยู่บนถนน(แถมแม่ไม่ตามหาด้วย เอ้อ!) จนถูกจับ และได้มิชชั่นนารีมาช่วยเหลือประกันตัวออกมา กลับไปบ้านและลิเลตก็มาแอบๆอยู่ที่ศูนย์พัฒนาเยาวชน แต่…….!!!