*****วันที่6/29-01-2014 ทัวร์วังเวียง /ถ้ำพูคัม /Blue Lagoon***** วันนี้ตื่นเช้าเล็กน้อย ออกมาเดินหาอะไรรองท้อง เป็นบัคเกต ที่เล็งมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เห็นมีขายทั่วเมืองมาก และโรตีนูเทลล่าอีกอันนึง จากนั้นก็เดินไปถ่ายรูปที่Riverview อีกทีตอนเช้า (ฝังใจมากจริงๆ) เสร็จแล้วก็ไปนั่งรอที่หน้าบริษัททัวร์ที่เราจะไปวันเดย์ทัวร์ ด้วยวันนี้ ทัวร์วันนี้เราเดินหาซื้อตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็น เดินแวะถามทุกร้าน(?)เท่าที่มี ก็ไปจบที่บ.น้ำทิพย์ทัวร์ ด้วยทัวร์มาตรฐานของวังเวียง จริงๆ เราอยากไปหลายๆถ้ำอื่นๆ ไปบลูลากูนด้วย ไม่อยากพายเรือเท่าไหร่ แต่ว่าไม่มีคนซื้อทัวร์เลย ถ้าไปเองจะราคาสูงมาก ด้วยความที่งบจำกัดเราก็เลยเลือกตามทัวร์มาตรฐานไป เพราะถือว่าตอบโจทย์ที่เราคิดมาได้พอดีในเรื่องการล่องแม่น้ำ แต่ถ้าอยากล่องแม่น้ำโดยไม่ต้องพายเรือ ยังมีบริการเรือให้นั่งชมวิวด้วย (ราคาไม่แน่ใจถามได้ตรงRiverview) และการไปลอยห่วงยางชิวๆในแม่น้ำด้วย (ราคาไม่แน่ใจ ความสนุก เห็นทั้งฝรั่งที่กลับมาอย่างสนุก และฝรั่งที่กล้องหล่นน้ำ กลับมาไม่ประทับใจ ร้องไห้ใหญ่)
*****วันที่5/28-01-2014 นั่งรถไปวังเวียง และเดินเล่น***** วันนี้ตื่นเช้า เพื่อรีบมาหาอะไรรองท้องก่อนจะทานยาแก้เมารถ (มีลางสังหรณ์ว่า เมาแน่ๆ) และก็พบว่าร้านส่วนมากยังไม่เปิด…แป่ววว เดินวนอยู่บล็อกนึง สุดท้ายไปจบที่ขนมปังเป็นมื้อเช้า แล้วก็กลับไปนั่งรอรถสามล้อที่จะมารับไปขึ้นรถบัส ตั๋วรถไปวังเวียงของเราคือ รอบ9.30 เราก็นั่งรอๆ เก้าโมงแล้วสามล้อก็ยังเงียบอยู่ เก้าโมงสิบห้าก็แล้ว จนเราต้องไปตามเจ้าหน้าที่ที่พักว่าจะไปทันจริงใช่ไหม และในที่สุดสามล้อก็มา ประมาณ9.30ได้ สามล้อก็พาเราไปส่งยังรถตู้ไปวังเวียง และเราก็งงๆเล็กน้อยว่านี่มันเลยเวลารถออกไปแล้วนะ คุยกับคนขับรถได้ความว่าสามล้อพาเรามาผิดที่ ที่ที่เค้าพามาคือท่ารถตู้โดยสารทั่วไป แถวตลาดเช้า ที่จะออกเมื่อคนเต็ม (หรือก็คือประมาณเที่ยง) ณ เวลาที่รออยู่คือ เกือบสิบโมง และเค้าไม่รู้ว่ารถบัสของเราอยู่ไหน หรือที่แย่กว่านั้นออกไปหรือยัง !?! เราก็จัดการโทรหาบริษัทที่ซื้อตั๋ว แม้จะคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ (ดูเหมือนความสามารถในการเข้าใจภาษาไทยของบริษัทลดลงอย่างเร็ว และภาษาอังกฤษก็ไม่เข้าใจ) แต่ในที่สุดบริษัทก็ส่งรถมารับเราไปที่ท่ารถที่ถูกต้องจนได้
*****วันที่4/27-01-2014 เวียงจันทน์วันเดย์ พระธาตุหลวง/ประตูชัย/ตลาดเช้า/หอพระแก้ว/พิพิธภัณฑ์ วัดสีสะเกด/วัดศรีเมือง/COPE Visitor Centre***** หลับยาวมาถึงเรื่อยจนกระทั่งรถจอด เราก็นอนลืมตางงๆแปปนึงว่ามาถึงหรือยัง (ระหว่างทางรถหยุดบ่อยๆให้คนขึ้น เลยคิดว่าน่าจะเป็นการหยุดให้คนขึ้น) แต่ปรากฏว่าไม่ใช่แหะ เรามาถึงเวียงจันทน์แล้ว !!! ตอนตีห้ากว่าหกโมง เราก็ลงจากรถงงๆมึนๆเบลอๆเพิ่งตื่น จัดการค้นหากระเป๋า ท่ามกลางความวุ่นวายและมนุษย์ทั้งหลาย (รถที่ออกจากปากเซทุกคันมาถึงพร้อมๆกัน) และก็เดินไปเข้าห้องน้ำที่สถานีมีคนมารอรถพอสมควรอยู่ อากาศเย็นๆหน่อย พอเข้าห้องน้ำเสร็จออกมา…..งงเลย คนหายไปหมดแล้ว ความวุ่นวายหายไปทั้งหมดเลย โชคดีมีรถสองแถวเข้าเมืองคันสุดท้ายอยู่ คือคนหายเร็วจริงๆ แนะนำว่าถ้าไม่ปวดมากก็ทนๆแล้วรอเข้าที่พักก็ได้ เพราะถ้าไม่เจอสองแถวคันสุดท้ายอาจจะต้องรอนานไม่ก็โดนค่ารถเอดอาบเลย เราเลยขึ้นไปนั่งจ่ายค่ารถไป20,000kip และเดินทางเข้าเมืองไปเพื่อไปเริ่มต้น น่าจะง่ายกว่าการเคว้งอยู่สถานีขนส่ง สภาพ ณ หกโมงเช้าที่เวียงจันทน์คือ จุดมุ่งหมายแผนการเที่ยววันนี้…ไม่มี ที่พัก…ไม่มี ตั๋วรถไปวังเวียง…ไม่มี ข้าวเช้า…ไม่มี มีมาแต่ตัวและสภาพกึ่งง่วง
*****วันที่3/26-01-2014 ไปวัดพู/วัดพูสเลา(วัดเขา)/ตลาดปากเซ/รถนอนไปเวียงจันทน์***** วันนี้รีบออกเช้าเพื่อไปหาซื้อตั๋วรถไปเวียงจันทน์ (ได้ข่าวว่าจะไปอยู่แล้วเย็นนี้!) แล้วก็จะหารถเหมาไปวัดพูด้วย เนื่องจากความประทับใจของคนก่อนสองวันติดๆกันมันประทับใจเกินไปจริงๆ เลยเดินออกมาที่วงเวียนแถวโรงแรม และเห็นขบวนรถตู้จอดอยู่ (เป็นรถที่วิ่งระหว่างปากเซและด่านช่องเม็ก) เราก็เลยเดินไปถามคันนึงมา ตกลงราคาได้มาที่1500บาท ไม่รวมค่าทาง (คือทางไปวัดพูเป็นถนนสร้างใหม่โดยเอกชน ดังนั้นจะมีการเก็บค่าผ่านทาง200บาท/50000kip) ทำให้เรามาถึงวัดพูเร็วมาก แทบจะเป็นกลุ่มแรกๆที่ไปเลย ก็จัดการหาร้านอาหารกิน (จริงๆมีร้านเดียวนั่นละ) มื้อเช้าวันนี้ก็มาพยายามกับเฝอเนื้ออีกรอบนึง ซึ่งก็ยังไม่โดนเท่าไหร่ จากนั้นจึงเดินไปซื้อตั๋วเข้าวัดพู ตั๋วจะมีสองแบบ แบบเดินและแบบนั่งรถกอล์ฟ ด้วยความฟิต(?) เราจึงเลือกตั๋วแบบเดิน เพื่อการชมวิวทิวทัศน์ (จริงๆคืองบจะหมดแล้ว ดังนั้นเลือกเพื่อความประหยัด)ละกันเดินไม่น่าไกลมาก พอเราเดินเข้าไปจะพบกับสระน้ำขนาดใหญ่มากอยู่สระนึง (ตามความเข้าใจจากแผ่นพับ สระนี้น่าจะคือบาราย) ก็เดินไปเรื่อยๆตามทางจนสุด แล้วก็ไปยืนงงๆกันตรงทางเข้าว่าสระน้ำนี่คือวัดพูหรือป่าว ต้องไปต่ออีกไหม (การเตรียมตัวและหาข้อมูลนี่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินมาก ไม่รู้กระทั่งว่าวัดพูที่มาหน้าตาเป็นอย่างไร ORZ)
*****วันที่2/25-01-2014 คอนพะเพ็ง/หลี่ผี-ดอนเดด ***** วันนี้เราตื่นเช้าหน่อย เพื่อรีบออกไปหาอะไรกินให้เสร็จประมาณ7.30 (นัดคนขับรถไว้เวลานี้) มื้อเช้าวันนี้เป็นบัคเกตลาว (ได้ลองซักที) รสชาติยังเฉยๆไม่ประทับใจมาก เป็นร้านเดียวกับที่เรามากินมื้อเที่ยงเมื่อวาน รถที่ไปวันนี้ก็ยังใช้คนเดิมกับเมื่อวาน แม้จะเจอดอกค่าน้ำมันมาแล้วก็ตาม เรียกง่ายๆว่าไม่เข็ด ซึ่งวันนี้ก็ประทับใจยิ่งกว่าเดิมอีก เมื่อวานโดนเรื่องค่าน้ำมันรถไปแล้ว วันนี้เราเลยตกลงราคารวมทุกอย่างที่3500บาท ตอนแรกถามที่โรงแรม ราคาแรก3500 แต่พอบอกไปดอนเดดด้วยกลายเป็น3800ซะอย่างนั้น นี่เป็นความผิดพลาดของการไม่หาข้อมูลไปของเราเองเพราะว่าน้ำตกหลี่ผีที่จะไปอยู่บนดอนเดด และดอนเดดคือดอนกลางแม่น้ำโขง ตัวดอนเดดไม่มีอะไร แต่มีกิจกรรมบนดอนเดด (ชมโลมา น้ำตกหลี่ผี และอื่นๆ) คือจะไปต้องนั่งเรือจากฝั่งไปที่ดอนเดดแล้วค่อยไปที่น้ำตก แต่เราไม่ได้หาข้อมูลอะไรไป เลยคิดว่ามันอยู่คนละที่กัน ORZ ต้องนั่งรถต่อๆไป ซึ่งความจริงแล้วราคาที่บวกเพิ่มขึ้นอาจจะเป็นค่าเรือข้ามฟากก็ได้ (เราไม่รู้ว่าต้องนั่งเรือไป เลยไม่ได้ถาม) สิ่งที่ประทับใจยิ่งกว่าของคนรถวันนี้คือ วันนี้คนรถของเรามาแบบสมบูรณ์มาก มาพร้อมครอบครัวพ่อแม่ลูก และแวะเอาลูกไปส่ง และเค้าจะไปเที่ยวด้วย (ไม่แปลกต้องขับรถไป) และเมียเค้าจะไปเที่ยวด้วย (ห่ะ) เริ่ดดดด (เด็ดกว่าคือให้เราจ่ายให้ด้วย ซะงั้น)และมาพร้อมฝีมือการขับรถที่สุดยอดมาก! ปาด และคร่อมเลน และบีบแตรไล่ทุกสิ่งที่ขวางหน้า
*****วันที่1/24-01-2014 มาถึงปากเซ ตะลุยน้ำตก ตาดอีตู้/ตาดฟาน/ตาดเยื้อง/ตาดผาส้วม***** รถจอดครั้งที่สาม ที่ด่านช่องเม็ก ตอนประมาณ หกโมงเช้า ระหว่างนั่งรถมา คนรถก็จัดการแจกใบผ่านแดนให้เรากรอกเข้าประเทศลาว เราก็กรอกไปด้วยควางสงสัยเบาๆ ว่าแล้วใบผ่านแดนของไทยอยู่ไหนล่ะ
Laos Bottoms Up! นั่งรถเมื่อยก้นตะลุยลาว 2,700 km in 10 Days วันที่ 0 : เริ่มต้นออกเดินทาง (Ch.2/14)
*****วันที่0/23-01-2014 ออกเดินทางจากกรุงเทพ ไปลาวผ่านทางด่านช่องเม็ก ***** เริ่มทริปเมื่อยก้นด้วย รถบัส บขส กรุงเทพ-ปากเซ การเดินทางเข้าลาว…..จากฝั่งไทยทำได้หลายทางมากๆ มีหลายวิธีสุดๆ ไม่ว่าจะเป็นการนั่งเรือ (ผ่านมาทางเชียงรายเข้าหลวงพระบาง ใช้เวลาสองวัน) หรือจะนั่งรถ ผ่านด่านหนองคายเข้าเวียงจันทน์ หรือผ่านด่านเลย(อ.ท่าลี่) เข้าหลวงพระบาง หรือผ่านด่านอุบลราชธานี(ช่องเม็ก)เข้าปากเซ อยู่ที่ว่าจะเริ่มทริปจากทางไหน แต่ของเราเริ่มจากลาวใต้ ดังนั้นเราจะไปออกด่านช่องเม็กกัน การซื้อตั๋วรถ…..สามารถซื้อผ่านทางเว็บไซต์ไทยทิกเกตได้เลย แล้วจ่ายเงินที่เซเว่น จากนั้นจะปริ้นตั๋วไป หรือจะเอาใบเสร็จไปแลกที่หมอชิตเลยก็ได้ การซื้อตั๋วไม่จำกัดว่าต้องมีพาสปอร์ต (ถ้าจะไปด้วยบัตรผ่านแดนก็แจ้งกับคนรถไว้ก็ได้ว่าเราจะผ่านด้วยบัตรผ่านแดน) แต่จะยุ่งยากพอสมควรในการทำบัตรผ่านแดน เพราะรถไปถึงเช้ามาก ดังนั้นอาจจะต้องขอประสานงานกับที่ด่านไว้ล่วงหน้า หรือไม่อย่างนั้นอาจจะไปรถต่อจากอุบล-ปากเซ การเดินทางเข้าลาว ถ้าไปแค่เวียงจันทน์ หรือปากเซ สามารถทำบัตรผ่านแดนชั่วคราวเผื่อข้าวไปอยู่ได้3วัน2คืนได้
Mini Review/สรุปค่าใช้จ่าย การเดินทาง ค่ารถกรุงเทพ-ปากเซ 950 บาท รสบัสที่นั่งก็แบบทั่วๆไป แต่ที่นั่งเอนได้เยอะมาก เยอะที่ว่าคือแทบจะนอนราบได้เลย รถนอนไปเวียงจันทน์ (170,000kip)…..รถปากเซ-เวียงจันทน์นั้น มีหลายบริษัทมากๆ แต่ว่าท่ารถที่ซื้อตั๋ว ถ้าไม่ได้ผ่านมาการนั่งรถมาซื้ออาจจะไม่คุ้มเท่าไหร่ รถเป็นเบาะนอน คือไม่มีที่นั่ง เป็นล็อกๆให้นอนเลย ล็อกละสองคนอยู่สองข้าง ตรงกลางเป็นทางเดิน มีหมอนผ้าห่มให้รถของเราหมอนเก่าไปหน่อย (ถ้าคิดมากก็ติดผ้าไปสักผืนปูหมอนก็ได้) รถมินิบัสไปวังเวียง(70000kip) เป็นรถใหญ่ นั่งสบายพอควร เสียแค่เจอปัญหาเรื่องการสื่อสารตอนขามาเท่านั้น โดยรวมๆก็ดี หรือจริงๆแล้วก็คือหลับเกือบตลอดทาง รถไปหลวงพระบาง (100000kip) มีให้เลือกมากมายในวังเวียง เดินดูราคาได้เลย และต้องพยายามทำความเข้าใจกับคำเรียกประเภทรถด้วย ร้านที่เราได้มาไม่ถูกเท่าไหร่ แต่ดูเป็นร้านใหญ่ และเรียกรถตู้(ญี่ปุ่น) ว่ามินิบัส และเรียกรถตู้(เกาหลี) ว่ามินิแวน ซึ่งกว่าเราจะเข้าใจได้งงพอควร เพราะนึกไปถึงรถบัสที่นั่งมาจากเวียงจันทน์ ซึ่งไม่รู้ว่าจะถูกเรียกว่าอะไร เพราะมินิบัสคงไม่น่าได้ แต่รถมาตรงเวลาดีมาก แถมคนขับชำนาญทางด้วย ไปถึงได้ไวมาก รถบัสหลวงพระบาง-เลย เราซื้อตั๋วกับบริษัททัวร์แห่งหนึ่ง ราคา210000kip รวมไปส่งที่ท่ารถ ถือว่าคุ้มพอสมควรเลย เพราะราคาตั๋วอยู่ที่180000kip ราคารถเหมามาที่ท่ารถเท่าที่ได้ยินมามีตั้งแต่20000-50000kipแล้วแต่ตกลง …
หนังเรื่องที่สามของเทศกาลหนังยุโรปคราวนี้ หนังจากเนเธอร์แลนด์ เป็นหนังที่บอกเล่าเรื่องราวของเด็กสาวในสลัมแห่งหนึ่งของฟิลิปปินส์ที่หันเห(?)ไปสู่การเป็นโสเภณีเด็กและเหตุการณ์ต่างๆก็พากันเกิดขึ้น จนไปถึงจุดจบที่เศร้าใจ หนังเล่าเรื่องของเด็กหญิงคนนึงนามว่าลิเลต ที่มีชะตาชีวิตอย่างซวยตามพล็อตละครไทยเรื่องพ่อเลี้ยงลูกเลี้ยงเลยเพียงแต่ลิเลตไม่โชคดีเท่านางเอกละครไทยเท่านั้น เพราะลิเลตถูกพ่อเลี้ยงข่มขืนและนอกจากนั้นแม่ของลิเลตเองก็พยายามจะขายลูกกินให้ไปนอนกับผู้ชายแก่ๆ ซึ่ทั้งหมดนี้ก็เพียงพอแก่การผลักให้ลิเลตต้องหนีออกไปอยู่บนถนน(แถมแม่ไม่ตามหาด้วย เอ้อ!) จนถูกจับ และได้มิชชั่นนารีมาช่วยเหลือประกันตัวออกมา กลับไปบ้านและลิเลตก็มาแอบๆอยู่ที่ศูนย์พัฒนาเยาวชน แต่…….!!!
Big Boy Goes Banana! เป็นภาพยนตร์สารคดีว่าด้วยเรื่องของผู้กำกับชาวสวีเดนที่ไปเหยียบเท้าบริษัทผลไม้ยักษ์ใหญ่ระดับโลกอย่างDole เป็นหนังที่ถ่ายทำเพื่อบอกเล่าเรื่องราวระหว่างผู้กำกับคนนี้ถูกยักษ์ใหญ่ไล่บี้ เนื่องจากผู้กำกับคนนี้ทำหนังสารคดีว่าด้วยการทำฟาร์มกล้วยในอเมริกาใต้ของบริษัทDole ว่ามีการใช้สารเคมีบลาๆ ซึ่งคดีนี้ก็ถูกฟ้องและถูกศาลตัดสินไปแล้วว่าDoleผิดจริง แต่Doleกำลังอุทธรณ์อยู่ ผู้กำกับสวีเดนก็ทำหนังขึ้นมาชื่อเรื่อง Banana และกำลังจะนำไปฉาย แต่ทางDole ก็รู้เห็นว่าจะมีการฉายหนัง ซึ่งทางDoleกล่าวอ้างว่าเป็นข้อมูลเท็จทำให้บริษัทเสียหาย อย่ากระนั้นเลยDoleก็จัดการส่งหมายเตือนไปเลยว่าห้าฉายนะ ไม่งั้นฟ้องตูดบานนะ บีบผู้จัดเทศกาลหนังว่าถ้าเอ็งฉายก็จะโดนฟ้องด้วยนะ บลาๆ บีบหนักมาก ช่วงแรกของหนังเรื่องนี้ได้แต่สงสารเลยว่าผู้กำกับและหนังเจ้าปัญหาโดนหนักมากจริงๆ จนสุดท้ายก็พยายามจนฉายได้ แม้จะโดนDoleเปิดเกมเร็วด้วยการใช้สื่อโจมตีผู้กำกับก่อนในหลายๆแง่ และก็เกิดกระบวนการฟ้องร้องกันตามมานี่แหละ ทางDoleไล่บี้หนักจริงๆ ไม่ว่าใครก็ตามที่เอ่ยถึงหนังเรื่องนี้ หรือสัมภาษณ์ผู้กำกับคนนี้ แม้จะเป็นรายเล็กย่อย ทีวีท้องถิ่นก็ตาม Doleจัดการติดต่อไปหมดเลย หูตาทิพย์มากๆ จนกระทั่งทางผู้กำกับก็ลุกขึ้นมาฟ้องDoleกลับด้วยเช่นกัน