หนังสารคดีที่ได้ไปดูตามแรงเชียร์และเสียงชื่นชมอย่างล้นหลามจากเพจรีวิวหนังที่ติดตามอยู่ ซึ่งรอบที่ไปดูคือรอบสุดท้ายก่อการขยายเวลายืนโรงเพิ่มไปอีก ซึ่งก็สมควรมาก เพราะรอบนั้นคือเก้าอี้เต็มทุกที่นั่ง
ปู่สมบูรณ์เป็นหนังที่ถ่ายทอดชีวิตจริงของปู่สมบูรณ์และย่าละเมียด คู่สามีภรรยาชาวเมืองอยุธยา เป็นเรื่องราวการดูแลกันและกันของปู่และย่า หนักไปทางปู่ดูแลย่า เพราะย่ามีหลายโรครุมเร้ามากมายจริงๆ ย่าละเมียดเป็นโรคไต ที่ต้องฟอกไตทุกๆสี่ชั่วโมง และปู่สมบูรณ์คือคนที่ทำหน้าที่นั้น จดน้ำเข้าออก เตรียมการฟอกไตทุกสี่ชม. พาไปอาบน้ำ ป้อนข้าว พาเข้านอน คือหนังทำให้เราเห็นง่ายๆ เลยว่าชีวิตคู่บางทีก็ไม่ได้ต้องการอะไรมากกว่าการดูแลกัน ในยามสุขและทุกข์ ไม่ต้องบอกรักโรแมนติกมากมาย เพราะทุกการกระทำของปู่สมบูรณ์แสดงให้เห็นมากกว่าคำพูดมากมาย
ด้วยความเป็นสารคดีชีวิตจริง และการถ่ายทำแบบไปตั้งกล้องตามถ่ายของทีมงานทำหนัง ที่ใช้ระยะเวลามากกว่า 3 ปี จึงทำให้หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่เรียลมากกกกกก ให้รู้ว่านี่แหละคือชีวิตคนจริงๆ คนธรรมดาที่ใช้ชีวิตกันจริงๆ อาการฟุ้งฝันเว่อวังแบบหนังหาไม่มีเลย รวมถึงความ”บันเทิง”แบบหนังทั่วไปอาจจะหายากมาก มีฉากแช่กล้อง ถ่ายวิว นกกินน้ำ นกบิน อะไรให้ตีความเยอะแยะมากมาย ซึ่งส่วนตัวก็ไม่ค่อยทันตรงนี้นัก และทำให้คนเสพหนังที่เจอความบันเทิงบ่อยๆ ติดง่วง และงงๆไปบ้าง แต่หนังก็พีคกลับมามากขึ้น เมื่อถึงคราวน้ำท่วมใหญ่!
ที่จังหวัดอยุธยาที่ปู่สมบูรณืและย่าละเมียดอาศัยอยู่ก็ได้รับผลกระทบไปเต็มๆ ด้วยสภาพของย่าละเมียดการอพยพหนีน้ำท่วมจึงไม่สามารถทำได้แบบคนอื่นๆ ทั้งคู่ยังคงอาศัยอยู่ที่บ้านในช่วงน้ำท่วม ความที่ปกติการนั่งรถไปโรงพยาบาลก็ไกลมากอยู่แล้ว ฉะนั้นการไปโรงพยาบาลช่วงน้ำท่วมจึงเป็นอะไรที่ยิ่งกว่าเหนือจริง
และจุดพีคมาถึง เมื่อเกิดข้อผิดพลาดระหว่างการฟอกไต ที่ทำให้น้ำที่ใช้ล้างไตไม่ออกมาทั้งหมดและย่าเกิดอาการบวมมากขึ้น ซึ่งลูกหลานพยายามขอร้องให้ไปปโรงพยาบาลแต่ย่าเองก็ไม่ไป จนลูกหลานต้องให้ปู่สมบูรณ์มาช่วยพูดให้ แต่การที่ย่าเอื้อมมือไปจับลูบขาปู่ เหมือนจะเป็นสัญญาณว่าไม่อยากไป ไม่ต้องพาไปหรอก ปู่เองก็ยอมตาม เหมือนจะยอมตามคำขอสุดท้ายของย่า และแน่นอนว่าย่าละเมียดก็จากไปในคืนนั้น สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้ไม่ธรรมดาคือ อินเนอร์ปู่สมบูรณ์และย่าละเมียดช่วงท้ายเรื่องคือพีคและดีงามมาก
ฉากการจากไปของย่าละเมียดในคืนนั้นเรียกได้ว่า ฉากนี้คือที่สุดของหนังเรื่องนี้ แม้ฉากนี้กล้องจะถ่ายได้ภาพออกมาระดับกล้องมือถือก็ตาม(เข้าใจว่าน่าจะเป็นญาติๆบันทึกมาให้ หรืออจะไม่สะดวกขนกล้องเข้าไปเพราะน้ำหนักเรือที่ขนของน่าจะจัด และคงต้องเน้นของจำเป็นก่อน) แม้ย่าเองไม่ได้พูดอะไรเลย (ทั้งเรื่องได้ยินเสียงย่าน้อยมาก) แต่สายตาย่าละเมียดที่มองกล้องมาจังหวะนั้น อินเนอร์ พลังพุ่งล้น สัมผัสคนดูมากๆ รวมกับการตัดต่อของทีมงาน ขอยอมใจฉากพีคของย่าเมียดเป็นอะไรที่จับใจมาก น้ำตาร่วงเลย การแสดงที่ดีที่สุดคือ…การไม่แสดงอะไรเลย
ความที่สุดของการตัดต่อของทีมงานมาสำแดงอีกที คือฉากที่ปู่พายเรือไปวัดเพื่อไปงานศพ เป็นฉากเดียวที่เราได้ยินเสียงเพลงในหนังเรื่องนี้ ซึ่งจังหวะที่เพลงขึ้นตอนปู่เริ่มพายเรือนั้นคือมาได้ถูกจังหวะมาก แต่ที่สุดกว่านั้นคือจังหวะเพลงจบ ที่มาพอดีกับตอนปู่พายเรือมาถึงวัด มันทำให้เรารู้สึกไปด้วยเลยว่า ระยะทางที่พายเรือมา เป็นการนึกทบทวน”ความทรงจำ”เรื่องของทั้งสองคน (กราบจังหวะทีมงานมา ณ จุดนี้) จนมาถึงวัดที่เรากลับมาสู่ความเป็นจริง รวมถึงฉากที่กำลังจะเผาย่า ที่เป็นครั้งแรกที่เราได้เห็นน้ำตาปู่สมบูรณ์ ซึ่งฉากนี้ส่วนตัวคิดว่าดีงามรองจากฉากที่ย่าจากไปในคืนนั้นเลย
หนังไม่ได้สรุปให้เราเลยสักนิดว่าปู่คิดยังไงรู้สึกอะไรแต่ให้เราซึซับจากนั้นเอง หนังไม่มีสัมภาษณ์ปู่ หรือถามความรู้สึกอะไรเลย แค่ให้เรามองดูปู่ตอนที่อยู่คนเดียว ใช้ชีวิตคนเดียว และจบด้วยการที่ปู่นั่งอยู่ที่บ้านคนเดียว บางทีเราก็คิดถึงการสื่อสารง่ายๆบบที่หนังส่วนใหญ่ทำว่าสุดท้ายแล้วมันคืออะไรยังไง แต่บางทีความรู้สึกนั้น มันอาจจะกว้างไกลเกินกว่าที่จะสื่อสาร ความหมายในสิ่งที่ปู่รู้สึกออกมาก็ได้ ปล่อยใ้เราที่ได้สัมผัสติดตามดูทั้งคู่มาตลอดเรื่อง ค่อยซึมไปเอง เป็นคำตอบที่น่าจะดีกว่า
ปู่สมบูรณ์สอนสัจธรรมให้เรา เรื่องการทำใจ และมองเห็นข้อดีของชีวิต ด้วยสภาพโรคมากมายของย่า ที่หมอบอกว่าจะอยู่ได้อีกแค่8ปี คนทั่วไปมักจะคิดว่า อยู่ได้แค่นี้เองหรอ แต่ปู่สมบูรณ์กลบคิดว่า ได้อีก8ปีก็ดีแล้ว ซึ่งเชื่อว่าถ้าเราสามารถกลับแนวคิดได้แบบนี้ เราคงใช้ชีวิตและช่วงเวลาได้ดีและคุ้มค่ามากขึ้นแน่ๆ
เรทความน่าดู ถ้าเจ้าของหนังทำแผ่นออกมา ควรค่าแก่การหามาดูอย่างยิ่ง เพราะแค่ฉากย่าละเมียดและปู่สมบูรณ์ตอนท้ายนี่ก็คุ้มค่าล่ะ