PK หนังที่จ่ายแพงกว่าปกติ และรวมค่ารถในการถ่อไปดูยังคุ้มเกินค่าตั๋ว
PK หนังอินเดียที่กระแสบอกต่อต้องมาแรงมากๆแน่ถ้าคนได้ไปดูมา (ซึ่งเราก็ไปดูตามคำบอกต่อรีวิวมาเหมือนกัน) ซึ่งพบว่าหนังดีมากกกกกกกกก ถึงมากที่สุด แม้ว่าหนังจะเข้าจำกัดโรงแค่เมเจอร์สุขุมวิทและพระรามสาม รวมกับค่าความเฉพาะกลุ่มที่ตั๋วแพงกว่าปกติที่ 250 (ได้ราคาลดมาที่ 230) รวมกับการที่ต้องนั่งรถเพื่อไปดูก็ไม่ได้ทำให้ความสนุกหรือความรู้สึกคุ้มค่าที่ได้ไปดูลดน้อยลงเลยสักนิด กลับกันกลับรู้สึกว่าถ้าไม่ได้ถ่อมาดู ไม่ยอมจ่ายมาดูจะเป็นอะไรที่เสียใจมาก
หนังว่าด้วยเรื่องของมนุษย์ต่างดาวที่เดินทางมาทำวิจัยที่โลกมนุษย์และถูกขโมยรีโมทส่งสัญญาณกลับบ้านไปจนได้มาเจอกับนางเอกที่ทำงานเป็นนักข่าวแล้วเรื่องของการเริ่มต้นตามเอารีโมทคืนก็เริ่มขึ้นพร้อมกับการตั้งคำถามเกี่ยวกับความเชื่อ
เรื่องราวความวุ่นวายของพระเอกเกิดจากโจรที่ขโมยรีโมท ที่เป็นสร้อยวิบวับไปและเอาไปขายให้แก่นักบวข? ที่เป็นผู้นำลัทธิซึ่งเอาไปหลอกลวงชาวบ้านต่อว่าเป้นของศักดิ์สิทธิ์ โดยการเริ่มต้นตามหารีโมทของพระเอกเริ่มขึ้นพร้อมกับความรักของนางเอกชาวอินเดียและหนุ่มปากีสถาน (ที่ความขัดแย้งระหว่างเชื้อชาติ ความเชื่อ ศาสนาพุ่งสูงเลยทีเดียว)และนางเอกถูกคำทำนาย(ของนักบวชที่เอาสร้อยพระเอกไป)มาสั่นคลอนความรักกับแฟนหนุ่ม นี่คือสองเส้นเรื่องของหนังเรื่องนี้ เป็นจุดเริ่มต้นของความวุ่นวายทั้งหมด
หนังเล่าเรื่องของพระเอกที่ต้องการตามหารีโมทในนิวเดลฮี เมืองใหญ่คนระดับสิบล้าน ด้วยความว่างเปล่า ใครเอาไป คนนั้นคือใคร อยู่ที่ไหน เรียกได้ว่ายิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรเลยทีเดียว และทุกคนที่พระเอกไปพบก็ต่างบอกพระเอกว่าต้องไปให้พระเจ้าช่วยแล้วแหละ ซึ่งทำให้พระเอกเริ่มออกตามหาพระเจ้า แต่ปัญหาคือ พระเอกต้องตามหาพระเจ้าองค์ไหนล่ะ?
ในเมื่อทุกคนต่างก็มีพระเจ้าเป็นของตัวเองตามสังกัด(ศาสนา)ต่างๆ ในที่สุดพระเอกของเราก็ตามหาพระเจ้าไปทุกศาสนาทุกนิกายเลย จากการลองผิดลองถูกจากพื้นๆอย่างการเดินเข้าไปหาในวัด โบสถ์ มัสยิด แต่ก็ไม่พบจนไปถึงการเข้ารีตของพระเอกในหลายๆรูปแบบ วิธีไหนที่”ว่ากันว่า” ทำให้พบพระเจ้าได้ พระเอกเป็นต้องลองหมด เรียกได้ว่าหนังเล่าเรื่องจิกกัดศาสนาในรูปแบบปัจจุบันเบาๆ ว่าเป็นเรื่องของผลประโยชน์ เงินบริจาค ทำบุญ การบูชา ที่กัดได้เจ็บที่สุดคือประโยคที่พระเอกบอกว่าทุกคนต่างต้องการเงินจากผม “เงิน” จากความเชื่อที่พระเอกอยากพบพระเจ้า อยากเจอก็ต้องจ่าย จะเห็นได้จากฉากที่เมื่อพระเอกไม่พบ เขาจึงไปเอาเงินคืนจากกล่องบริจาคที่หยอดไปตอนแรก
หนังยังสื่อด้วยว่าศาสนในปัจจุบันนั้นเป็นความเชื่อที่หล่อเลี้ยงได้ด้วยความกลัวและความศรัทธาของคน ให้คนหาที่ยึดเหนี่ยว และสื่อให้เห็นอย่างเจ็บแสบด้วยฉากการบูชาก้อนหิน ที่มาเป็นที่พึ่งพิงยามหวาดกลัวแก่การสอบของนักศึกษาในมหาลัย ลงทุนหาหินมาตั้ง และทุกคนก็มารุมกราบไหว้ หรือฉากที่พระเอกซื้อรูปปั้นพระเจ้ามาบูชาในตอนแรก พร้อมคำถามเจ็บๆว่าพระเจ้าองค์เล็กและองค์ใหญ่(แน่นอนว่าราคาต่างกัน)ให้ผลต่างกันไหม และประโยคถามแบบซื่อๆตรงๆ ว่าแล้วถ้าเราติดต่อพระเจ้าได้โดยตรง พระองค์ทรงรับฟังเราทุกที่แล้วเราจะต้องบูชารูปปั้นเพื่อติดต่อพระองค์ทำไม (นั่นน่ะสิ)
หนังตั้งคำถามไปในหลายๆจุดจนมาถึงจุดที่ว่า เรากำลังโทรผิดเบอร์ เรากำลังต่อสายหาพระเจ้าผิดองค์ หรือจริงๆคือผู้จัดการ(ผู้นำลัทธิ) กำลังชักพาเราไปผิดทาง พระเอกเริ่มตั้งคำถามกับผู้นำลัทธิ(ที่เอารีโมทของพระเอกไป) ซึ่งเกิดเป็นกระแสให้คนตั้งคำถามมากขึ้น และเมื่อคนเริ่มตั้งคำถามมากขึ้น ก็ย่อมกระทบกับลัทธิความเชื่อของผู้นำลัทธิ และแน่นอนว่ารายได้หลักของลัทธินั้นมาจากการขายความเชื่อนั่นเอง
ซึ่งสถานการณ์ดำเนินไปเรื่อยๆ จนมาถึงจุดพีคเมื่อ และจุดพีคคือการตัดสิน ที่ใช้ประเด็นความรักต่างเชื้อชาติ ศาสนา ความเชื่อของนางเอกมาเป็นตัวตัดสินนี่สิ
เป็นการย้ำประเด็นอีกครั้งว่าแท้จริงแล้วคนเราทั้งหมดต่างกันเพียงเพราะ”แฟชั่น” ที่เราเลือกสวมใส่ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า ลัทธิ ศาสนาที่เราเลือกจะเชื่อและเคารพ
โดยเส้นเรื่องความรักของนางเอกที่ปูพื้นมาตอนแรกอาจจะรู้สึกเยิ้นเย้อไปบ้าง แต่เมื่อรวมกับฉากในสถานที่แต่งงานของทั้งคู่ที่ก็เล่นประเด็นความแตกต่างจาก”แฟชั่น” เช่นเดียวกัน และการดึงเส้นเรื่องทั้งสองเส้นมาบรรจบกัน เพื่อมาเป็นปมตอนจบนี่จัดเป็นความขั้นเทพและดีงามของหนังเรื่องนี้อย่างที่สุด นี่ยังไม่รวมถึงการแสดง บทบาท ความรักระหว่างเราสองสามคนที่เรียกน้ำตาได้พีคมากที่สุดในตอนจบ
หนังยังทิ้งท้ายขยี้เราอีกว่าแม้ในที่สุดเรื่องความรักระหว่างเราสองสามคนจะเหลือเพียงแค่เราสองคนก็ตาม และพระเอกก็ได้กลับบ้านไป แต่ฉากทิ้งท้ายกลับบ้านนี้ก็ขยี้หัวใจมากๆ เพราะสุดท้ายแล้วพระเอกที่เป็นมนุษย์ต่างดาวจากดาวที่จริงใจ ก็ได้เรียนรู้ ”การโกหก” คุณสมบัติอย่างนึงของมนุษย์ไปจากดาวดวงนี้
งานโปรดักชั่นดีงามมาก เทคนิค คุณภาพงานงามแท้ และแน่นอนว่าเอกลักษณ์วิ่งร้องเพลงเล่าเรื่องแบบอินเดียก็มาเต็มเช่นกัน เพลงเพราะ ตัวเอกหน้าตางามตามมาตรฐานระดับอินเดียอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ดีงามที่สุดของหนังอินเดียเรื่องนี้คือเรื่องบท!! อย่างแท้จริง คือบทเทพและดีงามเกินท้องเรื่องมาก หนังยาว3ชม.แต่ไม่มีส่วนไหนน่าเบื่อเลย แม้บางจุดเราจะงงๆว่าใส่มาทำไม แต่เมื่อหนังเดินมาจนจบเรื่องเราถึงได้เข้าใจว่าไม่ได้ใส่มาอย่างไร้เหตุผลนะ หนังเดินเส้นเรื่องสองเส้นไปพร้อมๆกัน ระหว่างความรักและความเชื่อ(พร้อมการตั้งคำถามแบบแสบๆเป็นบทที่รู้สึกว่าต้องเป็นคนอินเดีย ชาติที่อยู่ท่ามกลางความเชื่อและศาสนามากมายแบบนั้นถึงจะมีอินเนอร์เขียนออกมาได้) แต่!! ความเทพอยู่ที่ทำให้เส้นเรื่องทั้งสองเส้นมาบรรจบกันเป็นตอนจบที่เรียกน้ำตาได้สุดซึ้งเลยทีเดียว