Gayby Baby รักคือความเข้าใจ หนังสารคดีว่าด้วยเรื่องราวของเด็กในครอบครัวLGBT สี่ครอบครัว ความรู้สึกและความคิดของพวกเขาในการอยู่และมีครอบครัว พ่อแม่เป็นLGBT ซึ่งเรื่องราวของทั้งสี่ครอบครัวนั้นน่ารักมาก ทุกครอบครัวมีเป้าหมาย มีการหาคำตอบในแบบของตัวเอง กับการมีอยู่ การเป็นส่วนหนึ่ง และการยอมรับครอบครัวของตัวเอง (จริงๆทุกคนยอมรับได้อยู่แล้ว เพียงแต่ต้องปรับตัวต่อการยอมรับของบุคคลภายนอกที่มองเข้ามา) เด็กๆทั้งสี่คนน่ารักมากกกกกก
Little prince เป็นอะไรที่ดูแล้วชอบมาก ชอบในวิธีการเล่าเนื่อง วิธีการเอามาโยงเรื่อง วิธีการนำเสนอเรื่องราว แอนิเมชั่นก็น่ารักน่าเอ็นดูเหลือหลาย หนังสร้างมาจากวรรณกรรมเจ้าชายน้อยที่โด่งดังไปทั่วโลก แต่เอามาขยายประเด็นและนำเสนอใหม่เพิ่มเติมจากเวอร์ชั่นหนังสืออีก ว่าเจ้าชายน้อยของเราจะเป็นยังไงถ้าโตขึ้นมา? ซึ่งจุดนี้คงต้องมีการขยายตีความเพิ่มเติม แม้เจ้าชายน้อยที่เป็นหนังสือจะออกแนวให้เราตีความเองมากกว่า แต่ก็เข้าใจได้ ว่าเพื่อโยงกับเนื้อเรื่องอีกส่วนนึง
Self/Less หนังค้นหาตัวเอง หมายถึงตัวหนังเองก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ต้องค้นหาตัวเองเหมือนกัน หนังเล่าเรื่องเกี่บวกับมหาเศรษฐีที่ป่วยใกล้จะตายแล้ว และได้ค้นพบวิทยาการการย้ายจิต (หรืออะไรสักอย่าง) ย้ายตัวเองไปสู่คนหนุ่มกว่า และเริ่มดำเนินชีวิตใหม่ จนกระทั่งเจ้าของร่างเริ่มระลึกตัวเองได้ พล็อตเรื่องเป็นอะไรที่น่าสนใจไหม ก็น่าสนใจ แต่หนังทำออกมาได้…ไม่น่าสนใจเอาซะเลย มันเป็นหนังที่พยายามตั้งอยู่บนความเป็นจริง แต่ทุกอย่างในเรื่องนั้นหลุดไกลความเป็นจริงไปมาก แม้จะมองข้ามเรื่องการย้ายจิตย้ายร่างไป เพราะมันเป็นแก่นหลักของเรื่อง แต่หลักการอื่นๆของเรื่องนี้ก็ไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่เลย เพราะย้ายจิตไปได้ ต้องกินยาต่อเนื่องเพื่อให้ตัวตนเก่าหายไปตลอดกาล และเมื่อไม่กินคนที่ย้ายจิตไปนั้นจะหายไปแทน ถือว่ามีเหตุมีผลในตัวของมันเองใช้ได้ แต่ที่เหลือหลังจากนั้นคือความงง…
อย่างหนึ่งที่รู้สึกอยู่บ่อยๆ ตั้งแต่มาอยู่เกาะ คือ พนักงานตามร้านต่างๆ ที่นี่ ทำงานแบบอยู่บนเส้นแบ่งของคำว่าสโลว์ไลฟ์กับเอื่อยเฉื่อยมาก เป็นบรรยากาศการให้บริการที่จะไม่มีวันพบเห็นได้ที่กรุงเทพเลย บรรยากาศที่ถามเรื่องโปรโมชั่นแล้วพนักงานมารุมล้อมเราทีสามสี่คน ไม่ใช่มารุมขายนะ มารุมช่วยกันอธิบาย (แถมแม่งไปคนละทางอีก) สรุปทั้งร้านแทบไม่มีคนรู้เรื่องโปรโมชั่นที่ส่วนกลางออกมาเลย ถามไปตอบงง ถามอีกทีตอบคนละอย่าง มานั่งคิดๆดูไม่รู้ว่าเพราะมันเป็นวิถีที่ชิวๆสบายๆ เรื่อยๆที่คนที่นี่ชิน หรือว่าเพราะการแข่งขันในการหางานมันไม่สูงก็ไม่แน่ใจ คือมันไม่ได้มีงานมากมายเหมือนในกรุงเทพ ที่นี่มีแค่งานโรงแรม ร้านอาหาร ร้านเล็กน้อย และงานขายในศูนย์การค้า ไม่นับพวกงานเฉพาะทางแบบหมอ ครูอะไรทำนองนี้นะ เพราะตลาดงานมันไม่ได้กว้างหรือป่าว คนที่ปักหลักเลยอาจจะไม่ขวนขวาย หรือทะเยอทะยาน งานบริการเลยออกมาเฉื่อยๆ คือทำแค่นี้ก็อยู๋ได้แล้ว ทำมากกว่านี้ก็อยู่แบบเดิมอยู่ดี หรือก็เปลี่ยนงานไปเรื่อยๆ เพราะเจอพยักงานที่ดูงงๆในงานที่ตัวเองทำอยู่เนืองๆ (ถึงขนาดเคยต้องอธิบายเรื่องบัตรM-Gen ให้พนักงานเมเจอร์ฟังมาแล้ว) จะว่าดีก็ดี จะว่าไม่ดีก็ไม่ดี ทำงานไม่มีความกดดันนะ แต่คนรับบริการกดดันมากเหมือนไปสร้างความลำบากให้พนักงานเลย ลูกค้าก็เลยสโลว์ไลฟ์ตามไปเลย…! ใครเครียดและรู้สึกกดดันจากงานที่กรุงเทพ ลองหางานบนเกาะสมุยดูนะ….
Freelance ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ หนังที่ตั้งใจธรรมดา ได้มีโอกาสไปดูหลังจากฟีดแบคหลายๆแห่ง เริ่มออกมาว่า อาร์ตว่ะ หนังแนว ไม่ใช่แบบGTH ซึ่งทำให้เราแป่วๆไประดับนึง ด้วยความที่ไม่เคยดูงานของผู้กำกับคนนี้ แต่เป็นผู้กำกับขวัญใจเด็กแนว ติสท์ ซึ่งนั่นคือเรื่องที่ทำให้เรากังวลระดับนึงก่อนไปดู ว่าแม่งจะรู้เรื่องป่าววะ (ไม่กังวลในระดับเดียวกับที่ได้ยินชื่อเป็นเอก รัตนเรือง แต่ให้ความรู้สึกกังวลแบบนั้น อารมณ์ระยะเริ่มแรก) แต่พอไปดูแล้ว ปรากฎว่า เราชอบอะ! ถ้านับในแง่ความบันเทิงของการเป็นหนังแล้ว มันคงจะธรรมดามาก ไม่ได้สุขสมแฮปปี้ ฟรุ้งฟริ้ง มีเหตุการณ์บังเอิญ หวานแหวว แบบนิยาย หรืออะไรเลย มันธรรมดา เดินเรื่องเรียบๆ เรื่อยๆ ไปจนจบ แต่เรากลับชอบตรงที่มันธรรมดานี่แหละ มันดูจับต้องได้ เข้าถึงได้ แบบคนธรรมดาทั่วๆไป พระเอกนางเอกคนธรรมดา ดำเนินชีวิตแบบธรรมดา มันธรรมดาจนเรารู้สึกว่ามันใกล้ตัวมากๆ เป็นเรื่องที่อาจจะเกิดกับใครก็ได้ ในแง่มุมไหนก็ได้ ขนาดธรรมดาเรื่อยๆ แต่เราดูแล้ว รู้สึกว่ามันมีอะไรหลายอย่างมากเลย
เราค่อนข้างเชื่อนะว่าการดูวิถีชีวิตคนแต่ละท้องที่ เราสามารถเช็คง่ายๆได้ในร้านหนังสือนะ เหมือนที่เค้าบอกว่าถ้าอยากดูวัฒนธรรมความคิดคนชาติไหน ให้ดูพาดหัวหนังสือพิมพ์ชาตินั้น . ขณะที่กรุงเทพ ของแพงค่าครองชีพสูง การแข่งขันสูง เมืองแห่งโอกาส(จริงๆ มาอยู่ต่างจังหวัดแปปเดียวสัมผัสได้เลย มีโอกาสจะมาต่อเรื่องนี้) มีความกดดันอยู่ลึกๆให้รวย จะได้อยู่สบายๆในเมืองที่แหลมหน้าออกนอกบ้านแบงค์ร้อยก็ปลิวว่อน หนังสือยอดฮิตแน่นอน หนังสือเสริมสร้างความร่ำรวย ชี้ช่องรวย รวยด้วยหุ้น รวยง่าย รวยเร็ว ดูดวง . พอมาอยู่เกาะ หนังสือขายดีอันดับ1-10ยกแผงกวาดทั้งชั้นคือ…..หนังสือปลูกผัก ทำเกษตร
ก่อนเราจะได้ดูหนังเรื่องนี้ Amy Winehouse เป็นนักร้องเสียงดีขี้เมา ติดยา เสเพล ชอบปาร์ตี้ในสายตาของเรา ที่รับรู้ผ่านสื่อต่างๆ หลังจากดูหนังเรื่องนี้เธอเป็นนักร้องเสียงดี ที่”บังเอิญ”ติดเหล้า ติดยา และอยู่ผิดที่ไปหน่อย แต่ที่เรารู้สึกได้คือ Amy Winehouse เธอเกิดมาเพื่อให้โลกจำจริงๆ โลกจะจดจำผลงานเพลงของเธอ ไม่ก็ชื่อเสียงพฤติกรรมสำมะเลเทเมาของเธอที่เป็นชื่อกระฉ่อนลือชาเหลือเกิน แต่โลกนี้จะต้องจำได้ว่า Amy Winehouse เคยมีชีวิตอยู่…และยังมีชีวิตอยู่ผ่านเพลงของเธอ ทำไมนะเหรอ…ก็เพราะเพลงของAmy Winehouse ก็คือชีวิตของAmy Winehouse!!!
The Great Beauty ความงามที่สุดแท้แต่…..จะยากหยั่งถึง ถ้าจะถามว่าความงามอะไรที่ยากจะหยั่งถึง ตอนนี้คงต้องตอบว่า ก็ The Great Beauty Le Grande Bellezza นี่แหละ หนังอิตาลีดีกรีภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยมจากเวทีออสการ์ ที่เอากลับมาฉายอีกรอบ (และเก็บเงินด้วย!) ในเทศกาลภาพยนตร์อิตาลี ที่อ็องกั๊กติเย่ร์ ซีเนอาร์ต ถ้าจะให้บอกว่า ความงามที่อยากจะหยั่งถึงเป็นชื่อแปลของหนังเรื่องนี้ ก็คงเป็นชื่อไทยที่เหมาะมาก เพราะหนังสองชั่วโมงครึ่ง กรุเข้าไม่ถึงเลยสักนิดเดียว หนังอะไรคะเนี่ยยยยยย พี่จะสื่ออะไรให้อิชั้นดูเนี่ย
Mad Max : Fury Road หนังไล่ล่ากลางทะเลทรายสุดมันส์ หนังว่าด้วยโลกยุคเสื่อมถอยที่ดินเป็นพิษ น้ำเป็นพิษ คนอยู่อย่างแร้นแค้นกัน จนกระทั่งนางเอก(?) ฟูริโอซาพาสมบัติของหัวหน้า อิมมอร์ตั้น โจ หนีออกไปสู่ที่ที่ดีกว่า (เดี๋ยวนะ แม็กซ์อยู่ไหนล่ะ!) เป็นหนังที่ไม่มีการพิรี้พิไรเกริ่นนำอะไรมากเลย เริ่มเรื่องสั้นๆด้วยฉากการจับตัวแม็กซ์(พระเอกของเรื่องนี้นะ)มา และนางเอกก็จัดการขโมยสมบัติทันทีเลยตั้งแต่เริ่ม และอิมมอร์ตันโจก็สั่งลูกน้องออกไล่ล่า ซึ่งพระเอกแม็กซ์ก็ติดสอยไปกับนักซ์ สมุนของอิมมอร์ตันโจไปร่วมไล่ล่าด้วย (คือสภาพการติดไปไล่ล่าด้วยของพระเอกก็บ่งบอกได้เกือบสุดแล้วว่ามันจะบ้าดีเดือดไปขนาดไหน)
ไปดูแบบไม่ได้คาดหวังอะไรมากเลย เพราะเวิร์คพอยท์ก็ถือเป็นหน้าใหม่ในวงการละครเวทีสำหรับเรา เราไม่เคยดูผลงานที่ผ่านมาเลย (ก็มันไม่มี) เรื่องนี้เลยไปแบบบัตรถูกสุด นั่งชั้นบนสุด เกือบติดเพดานเลย ดูจบแล้วก็คิดได้อย่างเดียว น่าจะยอมทุ่มเงินซื้อบัตรแพงแหะ เพราะมันดีงามมากจริงๆ ไม่มีส่วนไหนที่ทำให้รู้สึกไม่คุ้มค่า หรือเสียเวลาเลย (เกือบ)ทุกอย่างคือดีและลงตัว(มีจุดติดนิดนึง แต่นี้ดดดดดมากจริงๆ ไม่ทำให้เสียอารมณ์เลย) ถ้าใครเคยดูWhiplash แล้วทึ่งกับฉากตีกลองของพระเอกตอนสุดท้าย ถ้ามาดูเรื่องนี้จะได้ทึ่งกับการตีระนาดของทั้งศร และขุนอินเช่นเดียวกัน แต่ดีกว่าWhiplashตรงที่มันคือการเล่นสด เล่นจริงๆ บอกเลยว่าลุ้นมาก (และ90% ของผู้ชมในฉากนี้ ชะโงกหน้ามาดู และเกร็งลุ้นมาก) ฉากประชันกันระหว่าง ศรและขุนอิน มันคือที่สุดของความดีงาม ดีขนาดที่ว่า ต่อให้ทั้งเรื่องเล่นกันแย่ บทอ่อนแอแต่ได้ดูฉากประชันกันนี่ก็เรียกว่าเกินคุ้มแล้ว แต่ปรากฎว่ามันไม่ใช่! เพราะอย่างอื่นก็ดีงามเหมือนกัน มันเลยทำให้ละครเวทีเรื่องนี้คือยิ่งกว่าดีงามไปมาก