Jiuzhaigou|จิ่วไจ้โกว เที่ยวยังไงดี มีอะไรให้ดู
ที่ว่าง
ดูนู่นดูนี่ด้วย2ขากับเวลา2วันในจิ่วไจ้โกว
Movie : Google the world brain หนังสารคดีที่เล่าเรื่องโปรเจคเหมือนฝันของกูเกิ้ลที่จะทำการสแกนหนังสือทุกเล่มบนโลกใบนี้ เพื่ออัพโหลดขึ้นเว็บไซต์และให้คนเข้าไปอ่าน หรือง่ายๆคือกูเกิ้ลกำลังทำโปรเจคห้องสมุดของโลกนั่นเอง แต่ติดปัญหาอยู่นิดเดียวเอง คือ เรื่องของ “ลิขสิทธิ์”
Orwell เป็นเกมที่จะให้เราสวมบทบาทเป็นนักสืบที่อยู่นอกประเทศ ชื่อ The Nation ที่จะต้องสืบคดีระเบิดกลางเมือง โดยทำงานผ่านระบบ Orwell ระบบติดตามชีวิตประชาชน ที่สามารถเข้าถึงข้อมูลทุกอย่างบนอินเตอร์เนต โทรศัพท์ อีเมลล์ คอมพิวเตอร์ ของประชาชนที่เราสงสัยได้ เป็นเกมที่เล่นแล้วเพลินมาก แต่อย่าคาดหวังกับกราฟฟิคขั้นเทพ แอคชั่นกระจุยกระจาย เพราะเกมนี้ดำเนินการโดยเน้นเนื้อเรื่องเป็นหลัก ไดอะล็อก ข้อความ บทสนทนาที่ต้องอ่านจะเยอะมากกกก คือทุกอย่างเป็นตัวอักษร เน้นการอ่านเป็นหลัก ซึ่งความสนุกมันอยู่ที่ เราอ่านและเราต้องตัดสินใจจากข้อมูลทีเราเห็นตรงหน้าเท่านั้น เพื่อสืบหาข้อมูลใหม่ไปเรื่อยๆอีก ขนาดว่าถ้าอัพโหลดว่าชอบตกปลา ยังมีเว็บนักตกปลามาให้ไปอ่านเลย โดยเกมจะให้เราเข้าไปค้นข้อมูลทุกอย่าง และอัพโหลดทุกอย่างเข้าไปในระบบ ซึ่งทุกข้อมูลที่เราอัพโหลดเข้าไปจะมีผลต่อผู้ต้องสงสัยคนนั้นๆทันที เช่นที่อยู่ ลักษณะนิสัย ซึ่งทุกอย่างอยู่ที่เราในการเลือกที่จะอัพโหลดข้อมูลเข้าไปในระบบ เราสามารถทำให้คนนึงดูเป็นคนดุร้ายป่าเถื่อน โดยเลือกอัพโหลดข้อมูลด้านโหดร้ายที่คนนั้นโพสเพราะอารมณ์โกรธเกรี้ยวเข้าไปก็ได้ หรือจะเลือกอัพโหลด ด้านสงบเรียบร้อยก็ได้ เพื่อหาตัวคนร้ายผู้ก่อเหตุวางระเบิดกลางเมืองสองครั้ง และสืบหาระเบิดครั้งที่สามที่กำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งทุกอย่างจะนำมาสู่บทสรุปสุดท้ายที่จะให้เราเลือก ว่าเราจะจัดการยังไงกับระบบนี้ สปอยล์ตั้งแต่ตรงนี้เป็นต้นไป . . . .
โนเกีย ออกมือถือ แอนดรอยด์ แล้ว!! พอเห็นข่าวนี้ เราก็ได้แต่เหลือบมองมือถือโนเกีย น่าจะรุ่นสุดท้ายก่อนจะออกรุ่นต่อๆมาในนามของไมโครซอฟท์ ที่ตอนนี้มีประโยชน์ใช้สอยแค่ไว้ปลุกตอนเช้า แล้วถอนหายใจเบาๆ กับเพื่อนคนนี้ แว้บแรกที่รู้สึกเลยคือ ที่ผ่านมาโนเกียคงได้เรียนรู้ความดันทุรังที่ไร้ประโยชน์ไปแล้วสินะ แต่อย่างว่า บทเรียนในชีวิตหลายๆอย่าง ถ้าไม่เรียนรู้เอง ไม่เจ็บเอง ก็คงไม่เข้าใจ แล้วเราได้บทเรียนอะไรจากโนเกียบ้าง??
Bromo-Kawah Ijien ทริปสั้นๆ 5 วัน 4 คืน ในอินโดนีเซีย ที่ทำให้การรอคอยมีความคุ้มค่า เก็บไว้ประทับใจได้ยาวๆ
จริงๆอันนี้ จัดว่าเป็นภาคต่อของ 21 วันกับการเปลี่ยนนิสัย ที่เราได้ทดลองอยู่แบบไม่มีเฟสบุ๊คมา แล้วก็พบว่ามันเป็นช่วงเวลาที่น่าสนใจพอสมควร เลยอยากบันทึกเก็บไว้สักหน่อย ชีวิตที่ไม่มีเฟสบุ๊ค…..ชีวิตเราจะเดินช้าลงมากๆ คือช้าลงทุกเรื่องเลย แต่เอาจริงๆ….มันก็ดีนะ เมื่อก่อนเราอยู่ท่ามกลางดงข่าวสาร ข้อมูล เรื่องราวมากมาย ทุกอย่างลอยไปมารอบตัวเรา และเราวิ่งวนวุ่นวายเพื่อตามจับมัน ตามเก็บมัน ตามอ่านมัน มันก็เหนื่อยแบบไม่จำเป็น พอเราเลือกไม่รับรู้อะไรมาก เรากลับได้รู้ในเรื่องที่เราอยากรู้มากขึ้นนะ เราค่อยๆคิด ค่อยๆนึก และค่อยๆตามหาสิ่งที่เราสนใจไปทีละเล็กละน้อย แต่ข้อเสียคือข่าวสาร กิจกรรม อะไรใหม่ๆเราจะไม่รุ้เลย ยิ่งไม่ดูทีวีด้วยแล้วนี่คือจบเลย เรื่องบางเรื่องก็มารู้ตอนเค้าเล่าๆกัน ชีวิตที่ไม่มีเฟสบุ๊ค…..ชีวิตเราจะอยู่แต่กับตัวเรา….ดีไหมไม่รู้ แต่มันสงบนะ เราได้อยู่กับตัวเองมากขึ้น ทบทวน และให้เวลากับตัวเองไปทำอะไรได้หลายอย่างขึ้น ไม่ต้องเอาเวลาเราไปใช้กับการชีวิตคนอื่น เอาเวลามาใส่ใจตัวเองได้มากขึ้นและใส่ใจคนแบบมีรายละเอียดมากกว่ากดไลค์ไปผ่านๆ ใช้ชีวิตแบบตัวเองได้สบายใจ คือเมื่อก่อนพอเห็นคนมากมาย เห็นอะไรหลายอย่าง มันก็ต้องมีกิเลสบ้าง มีอารมณ์นอยด์บ้าง แต่พอตอนนี้ไม่เห็นใครเลย ก็สงบดี อารมณ์โดยรวมๆของวันก็จะดี ไม่ขึ้นลง ชีวิตที่ไม่มีเฟสบุ๊ค…..ชีวิตเราจะมีเวลาขึ้นเยอะมาก….จนน่าตกใจ ตอนเลิกเล่นแรกๆ เราเคว้งคว้างมาก ทำไมมีเวลาว่างเยอะขนาดนี้ทำอะไรดีนะ จนผ่านมาสักพัก เมื่อเราหากิจกรรมที่จะทำได้ เราก็ต้องแอบตกใจว่า เมื่อก่อนเราเสียเวลาไปกับเฟสบุ๊คขนาดนี้เลยหรอเนี่ย! เพราะในความทรงจำเรานึกไม่ออกเลยว่าเราทำอะไรไปบ้างนอกจากเฟสบุ๊ค คือเฟสบุ๊คเอาเวลาส่วนใหญ่ไปจริง และมันเอาไปเยอะมากเพราะเมื่อไม่มีเฟสบุ๊คเราทำอะไรหลายอย่างเสร็จไปแบบที่ไม่คิดว่าจะทำเสร็จ
เค้าบอกกันว่า ถ้าอยากเปลี่ยนพฤติกรรมใดๆ ให้ทำสิ่งๆนั้นติดต่อกัน 21 วัน ด้วยเหตุผลหลายๆอย่าง เราได้ทดลองทฤษฎีนี้ดูกับการเลิกเล่นเฟสบุ๊ค นี่ถือเป็นซีซั่นสองละ…ซีซั่นแรกล้มเหลวไปหน่อย รอบนี้เราเอาข้อผิดพลาดที่ทำให้ซีซั่นแรกล้มเหลว มาแก้ไขในรอบนี้ ด้วยการหักดิบเลิกแบบเด็ดขาดไปเลย ตัดทุกช่องทางกับเฟสบุ๊ค แม้ตอนกลางๆจะขอมาคอนเนคเพื่ออัพเดทเกมบ้าง แต่โดยรวมๆเราตัดขาดจากหน้าHome/Feedไปเลย ถามว่ามันสำเร็จไหม กับการทำอะไรติดต่อกัน 21 วันเพื่อจะเปลี่ยนพฤติกรรม ก็บอกเลยว่า มันจริงนะ มันสำเร็จ เราเปลี่ยนได้จริงๆ และพอทำไปเรื่อยๆเราสามารถยืดได้มาถึง 29 วัน ที่ไม่ได้เข้าเฟสบุ๊คเลยที่เดียว สัปดาห์ที่ 1 ในช่วง 7 วันแรกเป็นช่วงที่ยากลำบากนิดหน่อย ในการเลิกทำสิ่งที่เคยทำอยู่เป็นประจำ จะเคว้งคว้าง ทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้จะจัดการยังไงทำอะไรดี เป็นช่วงเวลาที่อึดอัดมาก ที่จะต้องหาทางอยู่กับมัน สัปดาห์ที่ 2 เราจะเริ่มคุ้นชิน กับการไม่ได้ทำพฤติกรรมเดิมๆแล้ว คุ้นเคยกับการอยู่โดยไม่มีเฟสบุ๊ค ไม่อึดอัดมากเหมือน 7 วันแรก เป็นสัปดาห์แห่งการปรับตัว ในช่วงระยะเวลานี้ต้องเตือนตัวเองบ่อยหน่อย เพราะจะมีความคิดแว่บๆว่าเรางดมาได้อาทิตย์นึงแล้ว เก่งแล้ว สัปดาห์ที่ 3 เหมือนเป็นการย้ำกับตัวเองมากกว่าการปรับตัวอยู่กับพฤติกรรมนั้นๆ ถามว่าถ้าจะเลิกเล่น ทำแค่ 2 สัปดาห์ก็พอนะ …
รีวิวดอยลังกาหลวง เส้นทางเดินเขาที่ไม่เคยคิดจะไป แต่พอไปแล้วไม่เคยคิดจะลืม