Freelance ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ หนังที่ตั้งใจธรรมดา
ได้มีโอกาสไปดูหลังจากฟีดแบคหลายๆแห่ง เริ่มออกมาว่า อาร์ตว่ะ หนังแนว ไม่ใช่แบบGTH ซึ่งทำให้เราแป่วๆไประดับนึง ด้วยความที่ไม่เคยดูงานของผู้กำกับคนนี้ แต่เป็นผู้กำกับขวัญใจเด็กแนว ติสท์ ซึ่งนั่นคือเรื่องที่ทำให้เรากังวลระดับนึงก่อนไปดู ว่าแม่งจะรู้เรื่องป่าววะ (ไม่กังวลในระดับเดียวกับที่ได้ยินชื่อเป็นเอก รัตนเรือง แต่ให้ความรู้สึกกังวลแบบนั้น อารมณ์ระยะเริ่มแรก)
แต่พอไปดูแล้ว ปรากฎว่า เราชอบอะ!
ถ้านับในแง่ความบันเทิงของการเป็นหนังแล้ว มันคงจะธรรมดามาก ไม่ได้สุขสมแฮปปี้ ฟรุ้งฟริ้ง มีเหตุการณ์บังเอิญ หวานแหวว แบบนิยาย หรืออะไรเลย มันธรรมดา เดินเรื่องเรียบๆ เรื่อยๆ ไปจนจบ
แต่เรากลับชอบตรงที่มันธรรมดานี่แหละ มันดูจับต้องได้ เข้าถึงได้ แบบคนธรรมดาทั่วๆไป พระเอกนางเอกคนธรรมดา ดำเนินชีวิตแบบธรรมดา มันธรรมดาจนเรารู้สึกว่ามันใกล้ตัวมากๆ เป็นเรื่องที่อาจจะเกิดกับใครก็ได้ ในแง่มุมไหนก็ได้ ขนาดธรรมดาเรื่อยๆ แต่เราดูแล้ว รู้สึกว่ามันมีอะไรหลายอย่างมากเลย
ซึ่งนี่เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เราชอบหนังเรื่องนี้ เพราะบางเรื่องมันธรรมดาแบบธรรมดา แต่บางเรื่องมันธรรมดาแบบตั้งใจธรรมดา และฟรีแลนซ์คืออย่างหลัง เป็นหนึ่งในหนังที่คาดหวังจะมีคนทำออกมาให้ดูนะ ทำเรื่องธรรมดาให้มันออกมาธรรมดา แล้วทำออกมาได้ดีด้วยสิ เป็นผู้กำกับที่ฝีมือน่าสนใจมากๆ ชักอยากไปหางานอื่นๆของผู้กำกับคนนี้มาดูแล้วสิ คงต้องเริ่มจาก Mary is happy
ส่วนหนึ่งที่ทำให้เลี่ยงหนังผู้กำกับนอกกระแส เพราะกลัวจะดูไม่รู้เรื่องนี่แหละ แต่เอาจริงๆมันก็ไม่ได้ขนาดนั้นเท่าไหร่นะ ปู่สมบูรณ์ ฝนตกขึ้นฟ้า มาถึงฟีแลนซ์ไม่แย่เลยนะ ดีกว่าหนังไทยในกระแสหลายๆเรื่องมาก บรรดาหอแหกแหวก
หนังเล่าเรื่อง ของยุ่นฟรีแลนซ์ มือรีทัชที่งานยุ่งแบบชิบหายวายป่วงมาก ทำงานเจ็ดวันต่อสัปดาห์ ที่เริ่มมีอาการป่วยและต้องไปพบหมอ และการทำงานของยุ่นก็เปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม!! (ใส่เอคโค่แบบคำโปรยหนังประกอบ)
เอาจริงๆ เรื่องมีแค่นั้นหละ มันไม่ถึงระดับหนังรักหวานแหววอะไรหรอก เป็นหนังรักแบบรักเล็กๆอะไรประมาณนั้น เอาจริงๆดูจบ ยังสงสัยว่าจริงๆยุ่นชอบ หรือเพราะยุ่นแทบไม่มีใครในชีวิตเลย จนหมออิมมาให้ความสนใจในชีวิตนี่แหละ
มุกตลกในหนังเรื่องนี้จะว่าตลกร้ายก็คงไม่ใช่ แต่เป็นตลกไม่โฉ่งฉ่างมากกว่า ถ้าชอบตลกโฉ่งฉ่าง อาจจะพบว่ามันฝืดและเฝือมาก แต่เรากลับคิดว่ามันตลกมากๆเลย
จริงๆแล้วฟรีแลนซ์มันออกนอกแนวหนังรัก ไปสู่หนังดราม่ามากกว่านะ โดยเฉพาะเรื่อง ชีวิตการทำงาน ยุ่นสอนเราได้ดีมากเลยนะ ในเรื่องของการแบ่งเเวลาทำงานกับเวลาส่วนตัว เราถูกสอนมาตลอดว่า ต้องทำงานหนักเพื่อจะก้าวหน้า ซึ่งนั่นก็จริงนะ ไม่จำเป็นต้องเป็นฟรีแลนซ์หรอก แต่ต้องรักษามาตรฐานการทำงาน และทำงานให้มีมาตรฐาน ไม่มีอะไรได้มาโดยไม่ลำบาก (ยุ่นเองก็อดหลับอดนอนมาขนาดไหนจนกว่างานใหญ่ๆจะเข้ามา) เราเองก็นั่งรอคอยความสำเร็จเข้ามาไม่ได้หรอก
แต่สิ่งสำคัญกว่านั้นคือ เราจะอยู่รอถึงวันนั้นด้วยสภาพไหนมากกว่า? ยุ่นเองเลือกทางโหด ทำงานหนัก ทรุดโทรม จมอยู่กับงาน จนวันที่รอคอยมาถึงแต่ยุ่นเองกลับไม่พร้อมซะแล้ว ทำงานหนักมากเกินไปก็ไม่ดี ทำน้อยไปก็ไม่ดี จุดที่เหมาะสมระหว่างการทำงานเพื่อก้าวหน้า กับการBalanceระหว่างงานและชีวิต เป็นอะไรที่หายากสุดๆ และหนึ่งในคำกล่าวยอดนิยมคือ ทำงานที่รักสิ!
แต่ทำงานที่รัก เป็นอะไรที่พูดง่ายแต่ทำยากโคตร เพราะฉะนั้นเราคงต้องมองในจุดแบบคนธรรมดา แล้วจุดที่เหมาะสมมันควรอยู่ตรงไหน มันคงแล้วแต่คน แต่สำหรับเรา ที่เราเรียนรู้จากยุ่นคือ อย่าทุ่มเทกับงานมาก จนงานกลายเป็นชีวิต เพราะวันที่เราไม่มีงานล่ะ? ชีวิตมันก็คงหายไปเลยนะ และอีกอย่างที่เราเรียนรู้จากยุ่น คือขนาดยุ่นเองทำงานที่รัก ยอมถวายชีวิตทำงาน แต่สิ่งที่ดึงยุ่นกลับมากลับไม่ใช่งานที่ยุ่นบอกมาตลอดว่าเป็นชีวิตของเค้า…..
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สองต่อจาก Vivien Maier ที่เราดูแล้วรู้สึกมีอะไรติดในหัวมาก มันเหมือนโดนจุดบางอย่าง (อาจจะเป็นเพราะเป็นช่วงหลงทางละมั้้ง)
เรทความน่าดู เราชอบ และเราจะแนะนำให้ดู มันได้อะไรมากกว่าบทรักกุ๊กกิ๊ก