วันนี้ตัดสินใจเที่ยวในเมือง ยกให้เป็นหลวงพระบางเดย์เดิน(เส้นเขียว) ปั้นจักรยานชมวัด (เส้นน้ำเงิน) และปั่นจักรยานรอบเมือง (เส้นแดง)
โดยมาเริ่มที่!!!Tourist Office เพื่อเข้าไปเอาแผนที่ก่อน = =” และจัดการมาร์กจุดที่จะแวะไปของวันนี้ ในศุนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยวนั่นหละ จากนั้นเดินมาเติมพลังฝั่งตรงข้าม (เล็งมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ตอนเดินกลับที่พัก) วันนี้เลยมาลองบัคเกตต์(อีกที)
จากนั้นก็เริ่มออกเดินเท้าไป โดยอยู่ระหว่างการตัดสินใจว่าจะเช่าจักรยานดีหรือไม่ คิดไปคิดมาก็เดินมาถึงวัดแรกซะแล้ว ที่Wat May Souvannapoumaram
แต่เหมือนทางวัดติดงานทำบุญตรุษจีนอยู่
เลยไม่ได้เข้าไปดู (ค่าเข้าประมาณ20000kip) ดูแต่ภายนอก
จากนั้นก็เดินต่อไปอีกนิดนึง หรือจะเรียกว่าติดกันก็ได้นั่นแหละเราก็มาถึงที่พิพิธภัณฑ์ และพระราชวัง
โดยเมื่อเดินเข้าไป ที่แรกด้านขวา คือหอพระ ที่เก็บพระบาง พระคู่บ้านคู่เมืองไว้ ห้ามถ่ายรูป ถ่ายได้แต่บริเวณรอบนอก
จากนั้นเดินต่อลึกเข้าไปข้างใน จะพบกับพระราชวัง ซึ่งเป็นการดัดแปลงพระราชวังเก่ามา และแสดงสิ่งของเครื่องใช้ และประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ของลาวกับประเทศอื่นๆไว้ โดยมีการกำหนดเส้นทางการเดินชมนิทรรศการไว้ และห้ามถ่ายรูปภายใน และห้ามนำของเข้าไป จะมีที่ฝากของไว้ให้ด้านมุมสุด
จากนั้นเดินต่อไปด้านหลัง จะเป็นพิพิธภัณฑ์รถยนต์หลวง ห้ามถ่ายรูปอีกเช่นเคย และระหว่างทางจะมีรถเลื่อนสำหรับขนพระบางไว้ให้ดูระหว่างทางด้วย
เราเดินมาแค่สองที่แต่เริ่มร้อนมากขึ้นๆ จึงตัดสินใจหลบถนนใหญ่เลี้ยวเข้าซอยไปแวะที่ต่อไปที่Wat Chumkhong/Wat Xieng Mouane ที่อยู่ในซอยข้างๆ สองจุดสีแดงข้างๆกัน ตรงเส้นสีเขียว ไม่รู้ว่าเราไปตอนเที่ยงเลยไม่เปิดให้เข้าหรือป่าว เลยดูอยู่แต่รอบนอก
และเดินต่อไปอีกนิดนึงจะมีพิพิธภัณฑ์อยู่ เหมือนจะเป็นบ้านเก่าของบุคคลคนนึง แต่เราไม่ได้เข้าไปดู เพราะเริ่มร้อนและไม่ค่อยมีเงินเท่าไหร่แล้ว (จ่ายค่ารถและค่าทัวร์เมื่อวานไปเกือบหมด)
จนในที่สุดเราก็เดินกลับมาบนถนนใหญ่ และคิด+ตัดสินใจได้แล้ว ว่าต้องเช่าจักรยานล่ะ ไม่งั้นคงไปไม่ถึงไหนแน่นอน เราก็เริ่มปั่นต่อไป จนถึง Wat Sene เข้าด้านในไม่ได้เหมือนเดิม และแดดแรงสุดๆ
จากนั้นจึงปั่นจักรยานต่อมา โดยตั้งใจจะไปที่Wat Xieng Thong ซึ่งอยู่ใกล้ๆ แต่ดันปั่นเลย (จริงคือหาทางเข้าไม่เจอ) เลยได้ไปแวะที่Wat Pakkhan และเข้าด้านในไม่ได้เหมือนเดิม ไม่รู้ว่าเพราะไปตอนเที่ยงหรือป่าว
จากนั้นปั่นย้อนกลับมาและเจอทางเข้าWat Xieng Thong (ในที่สุด) เดินเข้าจะรุ้เลยว่าวัดนี้เป็นวัดสำคัญ เพราะพื้นที่ของวัดมีขนาดใหญ่กว่าวัดอื่นๆเยอะมาก และมีหลายอาคาร เราแวะเข้าไปดูอาคารที่เก็บโกศ(?) และอาคารหลักที่มีพระพุทธรูป และอาคารเล็กๆข้างๆที่มีพระพุทธรูปด้านใน แต่เพราะอากาศร้อนมาก ไปถึงวัดตอนเที่ยงพิดี แดดลงหัวตรงๆ เลยไม่ค่อยมีอารมณ์ในการชมวัดเท่าไหร่
จากนั้นเลยปั่นจักรยานมาด้านหลังที่สวน นั่งพักหลบร้อนแปปนึง และปั่นจักรยานเลียบริมน้ำไปเรื่อยๆ (ตามเส้นแดง เลียบแม่น้ำโขง)
วนจนย้อนไปถึงWat Visoun(มีค่าเข้าประมาณ20000kip)เราไม่ได้เข้าเพราะคิดว่าไม่น่าจะมีอะไร และงบประมาณใกล้หมดแล้ว /Wat Aham(ปิดซ่อม) สองวัดนี้อยู่ติดกันเลย แม้ในแผนที่เหมือนจะห่างกัน แต่คืออยู่ติดเดินทะลุได้)ภายในไม่มีคนเลย
แล้วก็ปั่นจักรยานเลียบแม่น้ำคานต่อมาเรื่อยๆ และแวะไปหลบร้อนที่คาเฟ่ริมทางอันนึง ระหว่างทางที่ปั่นเลียบริมน้ำ จะมีร้านคาเฟ่น่านั่งเต็มไปหมด แต่เราเลือกอันที่ใกล้กับพระธาตุพูสีเพราะเหนื่อยและร้อนมาก ไม่อยากไปไกลเดี๋ยวจะพักจนขี้เกียจเดิน
จากนั้นไปขึ้นพระธาตุพูสีตั้งแต่สี่โมงกว่าๆ เพื่อไปรอพระอาทิตย์ตก ถ้าอยากได้ที่ดีๆ ต้องรีบไปตากแดดหน่อย ถ้าไปช้าคนจะเยอะมาก
ก็นั่งคุยกับนักท่องเที่ยวชาวจีนที่มานั่งตากแดดหน้าดำข้างๆเรา นักท่องเที่ยวผู้นั่งรถมาทรหดกว่าเราอีก (จากยูนนานในจีนมาถึงหลวงพระบาง นั่งรถมาจิ๊บๆแค่24 ชม.เอง)
ทางเดินขึ้นพระธาตุถือว่าสบายๆ ทางดี แค่จำนวนขั้นเยอะ แต่ไม่เหนื่อยมาก (อาจจะเพราะฟิตมาจากหลายที่แล้ว)จะมองเห็นที่เก็บพระบางจากมุมสูงด้วย
และเราก็เดินชมวิวรอบๆแปปนึง และไปปักหลักนั่งรอพระอาทิตย์ตกดินไปเรื่อยๆ
พอพระอาทิตย์ตกเสร็จก็ลงจากพระธาตุมา พร้อมอาการหน้าไหม้เล็กน้อย จากนั้นปั่นเอาจักรยานพาหนะคู่ชีพวันนี้ไปคืน 379 และเดินแวะร้านน้ำปั่นที่เราชอบมากร้านนึง (ตรงท้ายๆถนน)
จากนั้นก็ไปหาอะไรกินโดยวันนี้ เราตั้งเป้าที่จะต้องเข้าไปลองกินในซอยให้ได้ ซอยบรรยากาศที่สุดแสนจะคึกคัก ที่คนเดินเข้าไปเรื่อยๆ วันนี้เรามาในสภาพที่ดีกว่าเมื่อวาน จนสามารถฟิตเดินจนสุดซอยได้
สภาพภายในซอย มันคือแหล่งอาหารดีๆนี่เอง จะมีร้านอาหารตั้งอยู่ด้านนึง และที่นั่งของแต่ละร้านอยู่อีกด้านนึง เหลือช่องทางเดินตรงกลางแคบๆไว้ให้เดินเบียดเขาออกกันไปมา อาหารที่ขายจะมีตั้งแต่ก๋วยเตี๋ยว ส้มตำ ของย่าง ขนมหวาน อาหารบุฟเฟ่ต์ มีเยอะมากๆ สุดซอยจะเป็นร้านขายของชำ และหลังจากนั้นก็จะเงียบมากๆ เหมือนจบซอยไปแล้ว ซอยเดินไม่ลึกเท่าไหร่ ถ้าแรงเบียดดีๆ เดินแปปเดียวก็เสร็จแล้ว
ระหว่างที่เรากำลังเดินๆหาร้านอยู่กลางซอยนั่นเอง ไฟก็ดับ! (อีกแล้ว)เราก็เลยได้เดินฝ่าบรรยากกาศแออัดและมืด เดินสุ่มไปจนสุดซอย และตัดสินใจกินก๋วยเตี๋ยวจากร้านที่อยู่ใกล้ๆ ส่องๆเมนูไปในความมืด แล้วก็จัดการลองก๋วยเตี๋ยวเนื้อมาถ้วยนึง
แล้วก็เดินกลับที่พักไปนอน เป็นอันจบวัน แบบสบายๆ หน้าไหม้ๆไปเล็กน้อย