วันนี้ตื่นเช้า เพื่อรีบมาหาอะไรรองท้องก่อนจะทานยาแก้เมารถ (มีลางสังหรณ์ว่า เมาแน่ๆ) และก็พบว่าร้านส่วนมากยังไม่เปิด…แป่ววว เดินวนอยู่บล็อกนึง สุดท้ายไปจบที่ขนมปังเป็นมื้อเช้า
แล้วก็กลับไปนั่งรอรถสามล้อที่จะมารับไปขึ้นรถบัส ตั๋วรถไปวังเวียงของเราคือ รอบ9.30 เราก็นั่งรอๆ เก้าโมงแล้วสามล้อก็ยังเงียบอยู่ เก้าโมงสิบห้าก็แล้ว จนเราต้องไปตามเจ้าหน้าที่ที่พักว่าจะไปทันจริงใช่ไหม และในที่สุดสามล้อก็มา ประมาณ9.30ได้ สามล้อก็พาเราไปส่งยังรถตู้ไปวังเวียง
และเราก็งงๆเล็กน้อยว่านี่มันเลยเวลารถออกไปแล้วนะ คุยกับคนขับรถได้ความว่าสามล้อพาเรามาผิดที่ ที่ที่เค้าพามาคือท่ารถตู้โดยสารทั่วไป แถวตลาดเช้า ที่จะออกเมื่อคนเต็ม (หรือก็คือประมาณเที่ยง) ณ เวลาที่รออยู่คือ เกือบสิบโมง และเค้าไม่รู้ว่ารถบัสของเราอยู่ไหน หรือที่แย่กว่านั้นออกไปหรือยัง !?!
เราก็จัดการโทรหาบริษัทที่ซื้อตั๋ว แม้จะคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ (ดูเหมือนความสามารถในการเข้าใจภาษาไทยของบริษัทลดลงอย่างเร็ว และภาษาอังกฤษก็ไม่เข้าใจ) แต่ในที่สุดบริษัทก็ส่งรถมารับเราไปที่ท่ารถที่ถูกต้องจนได้
ซึ่งสัญญาณที่ดีของเราคือ รถคันนี้ไม่ว่างเปล่าและผู้โดยสารฝรั่งเต็มคันรถ (น่าจะถูกคันแล้ว) เราก็เลยถามฝรั่งข้างๆเพราะอยากรู้ว่าเราโดนปล่อยไปรถเลทหรือไม่ ปรากฎว่านี่แหละคือรถรอบ9.30 ทุกคนรอมาเป็นชม.แล้วกว่าจะได้ออก อ้อออรถแล่นนี่ตบมือกันเกรียวกราว
เราก็นั่งหลับๆตื่นๆไปตลอดทาง ค่อนไปทางหลับเป็นหลัก ฝรั่งข้างๆคงงง ว่าเมื่อกี้หลับอยู่ดีๆแต่รถกระดอนทีนึง สามารถเปิดกล้องมาถ่ายภาพ และหลับต่อได้ ฮ่าๆ ระหว่างทางมีแต่ป่าไม้จริงๆ
นั่งรถมา3-4ชม. ก็มาถึงวังเวียงแล้ว ! ทางไม่โหดอย่างที่คิด (เท่าที่เห็นตอนตื่นนะ) มาถึงเราก็จัดการ…..กินข้าวเลย! เมนูวันนี้เป็นข้าวผัดเนื้อและเห็ด มีความสร้างสรรค์กว่าที่ผ่านมา
จากนั้นก็เริ่มปฏิบัติการหาที่พัก เดินหลงไปมาอยู่สักพัก (ยังสามารถหลงได้ในเมืองเล็กเท่าแมวดิ้นแบบวังเวียง) คือจริงๆแล้วจะข้ามไปถามที่Riverview Bungalow แต่….เราหาทางข้ามไปอีกฝั่งไม่เจอ จริงๆคือเดินไม่รอบคอบเอง
เราลงรถที่จุดรถบัสสีฟ้าด้านล่าง เดินเลาะมาตามทางเรื่อยๆ จนถึงจุดแดง ซึ่งที่ๆเราจะไปต้องเลี้ยวซ้าย (หรือจริงๆแล้วเงยหน้าดูป้ายจะเห็นเลย) แต่ตอนนั้นร้อนมาก และคนวังเวียงที่เจอบนรถบอกให้เลี้ยวขวา เราเลยเชื่อเขาเดินเลี้ยวขวาไปจนสุด แวะลงอีกสะพานตรงแถวโรงแรมจำปาลาวไปด้วย ซึ่งตรงนั้นมีแต่บาร์ที่รอเปิดกลางคืน และเปลที่คนมานอนกลางวัน
เราเดินย้อนไปมา หาไม่เจอจนตัดใจจะไม่พักและเดินหาห้องพักไล่ตามทางมาเรื่อยๆ แต่ก็ยังไม่ถูกใจ เลยเปิดเช็คในอโกด้า ปรากฏว่า”เต็ม” จบละไม่ต้องหา และก็เหลือเห็นโปรโมชั่นของGrandview Guesthouse พอดี เลยตัดสินใจเดินไป และได้ที่พักสำหรับสองคืนแล้ว รวมเวลาเดินและหาห้องวนไปมา สองชม.ได้แต่ก็โชคดีได้ห้องที่วิวดีมากและได้ห้องสามคน ในราคาสองคน เลยได้ห้องกว้างหน่อย
ถ้าอยากพักที่ริมน้ำ เช่นRiverview ควรจะทำการจองมาก่อน การมาเดินดุ่มๆถ้าไม่โชคดีคงไม่ได้ห้อง หรือได้ก็คงห้องฝั่งหันหาเข้าฝั่ง ถ้าอย่างนั้นจองห้องบนฝั่งที่หันหาน้ำจะดีกว่า
พอเราจัดการเรื่องที่พักเสร็จก็ได้เวลาออกเดินเล่น เราเห็นป้ายว่ามีถ้ำอยู่ด้านหลังเดินไปได้ ชื่อLuci Cave ไปชมพระอาทิตย์ตกดินได้ การไปคือเดินผ่านRiverview Bungalowไป และข้ามอีกที่พักไป
จะพบกับทุ่งนา! อย่าแปลกใจไป ให้เดินตามถุงพรากติกที่ผูกไว้เป็นเสาๆไปตลอดนาไปเรื่อยๆแล้วก็จะเจอถ้ำ และด่านเก็บเงิน ซึ่งเราไม่ได้ขึ้นไปชมพระอาทิตย์ตก เพราะคิดว่าน่าจะเจอภูเข้าลูกใหญ่ด้านหลังบังเต็ม และเริ่มรู้สึกว่าสถานการณ์ทางการเงินเริ่มร่อแร่แล้ว
จากนั้นเราก็กลับมาเดินรอบๆในเมือง หาทัวร์สำหรับพรุ่งนี้ต่อไป และก็ไปทานอาหารเย็นที่Riverview Bungalow คาดว่าเป็นความต้องการชดเชยความผิดหวังที่ไม่ได้พักที่นี่ หรือต้องการปลอบใจตัวเองที่อย่างน้อยก็ขอเหยียบหน่อยเถอะ หายากเหลือเกิน
ซึ่งเมนูวันนี้เป็นCombination ที่สร้างสรรค์เหนือมื้อใดๆที่ทานมา และมื้อต่อๆไปที่จะทาน มื้อเย็นของเราประกอบไปด้วย ข้าวผัดหมู ลาบหมูข้าวเหนียว และพิซซ่า สั่งมากินร่วมกัน (โชคดีที่มีฝรั่งหิวโซมานั่งข้างๆ เลยได้แชร์พิซซ่าที่มาเมนูสุดท้ายตอนยัดข้าวผัด และข้าวเหนียวไปเต็มอิ่มแล้ว)