หลับยาวมาถึงเรื่อยจนกระทั่งรถจอด เราก็นอนลืมตางงๆแปปนึงว่ามาถึงหรือยัง (ระหว่างทางรถหยุดบ่อยๆให้คนขึ้น เลยคิดว่าน่าจะเป็นการหยุดให้คนขึ้น) แต่ปรากฏว่าไม่ใช่แหะ เรามาถึงเวียงจันทน์แล้ว !!! ตอนตีห้ากว่าหกโมง เราก็ลงจากรถงงๆมึนๆเบลอๆเพิ่งตื่น จัดการค้นหากระเป๋า ท่ามกลางความวุ่นวายและมนุษย์ทั้งหลาย (รถที่ออกจากปากเซทุกคันมาถึงพร้อมๆกัน) และก็เดินไปเข้าห้องน้ำที่สถานีมีคนมารอรถพอสมควรอยู่ อากาศเย็นๆหน่อย
พอเข้าห้องน้ำเสร็จออกมา…..งงเลย คนหายไปหมดแล้ว ความวุ่นวายหายไปทั้งหมดเลย โชคดีมีรถสองแถวเข้าเมืองคันสุดท้ายอยู่ คือคนหายเร็วจริงๆ แนะนำว่าถ้าไม่ปวดมากก็ทนๆแล้วรอเข้าที่พักก็ได้ เพราะถ้าไม่เจอสองแถวคันสุดท้ายอาจจะต้องรอนานไม่ก็โดนค่ารถเอดอาบเลย เราเลยขึ้นไปนั่งจ่ายค่ารถไป20,000kip และเดินทางเข้าเมืองไปเพื่อไปเริ่มต้น น่าจะง่ายกว่าการเคว้งอยู่สถานีขนส่ง
สภาพ ณ หกโมงเช้าที่เวียงจันทน์คือ จุดมุ่งหมายแผนการเที่ยววันนี้…ไม่มี ที่พัก…ไม่มี ตั๋วรถไปวังเวียง…ไม่มี ข้าวเช้า…ไม่มี มีมาแต่ตัวและสภาพกึ่งง่วง
รถสองแถวขับส่งคนมาเรื่อยๆ และขับมาประมาณครึ่งชม.ได้ (ถ้าจำไม่ผิด) ก็จะมาถึงใจกลางเมืองตรงน้ำพุ ก็จอดและให้คนลง ณ จุดนั้นเราเริ่มเคว้งคว้างงงๆแล้วว่าจะไปไหนยังไงดี เลยดูบอร์ดแผนที่ข้างทางและสุ่มเดินต่อไปทางน้ำพุ (มารู้ทีหลังว่าเดินไปทางน้ำพุ ตอนเดินตอนแรกคือคิดว่าจะเข้าไปในเมืองก่อน ทั้งๆที่ที่จอดส่งนี่คือในเมืองแล้ว)
เดินไปแปปนึงเริ่มรู้สึกว่าไม่น่าจะใช่แล้ว มันดูไม่มีที่พักอะไรเลย เลยตัดสินใจเดินย้อนกลับไปทางที่รถส่ง และเริ่มถามหาที่พักไประหว่างทาง เดินเข้าไปถามที่แรกเป็นโรงแรม…..อืมม เกินงบไปหน่อย เลยเดินต่อไปอีกซอย เข้าไปถามที่Saysoulay Guest House ปรากฏว่ามีห้องว่างอยู่พอดีหนึ่งห้อง ราคารับได้ เราเลยจัดการเช็คอินและเอากระเป๋าไปเก็บเลย
จากนั้นก็เดินออกไปหาแผนที่ ซึ่งพนักงานบอกว่าให้ไปซื้อที่ร้านค้า ระหว่างเดินออกมาก็สังเกตเห็นป้ายๆนึง ตรงซอยที่ที่พักเราตั้งอยู่ ว่ามีVisitor & Cultural Centreอยู่ เลยเดินเข้าไปขอแผนที่มา (รอดแล้ว!) และก็จัดการเอาแผนที่กลับที่พักไป…..นั่งวางแผน! ฆ่าเวลาระหว่างรอพนักงานมาชำระค่าที่พัก ซึ่งก็จัดการจิ้มๆและจุดลงในแผนที่ว่าจะไปที่ไหนบ้าง เป็นอันเสร็จ (พนักงานก็ยังไม่มา)
จากนั้นเดินออกไปต่อราคาสามล้อไปที่แรกของวันคือพระธาตุหลวง ก็ต่อราคาได้ที่ 50,000kip ไปกลับ
คนขับก็พาเรานั่งรถไปเรื่อยๆไม่นานก็มาถึงพระธาตุหลวง และให้เวลาเราครึ่งชม. (หา อะไรนะ! เราเลยบอกผ่าน ไม่ต้องรอละกันเดี๋ยวหาทางกลับเอง เลยได้ค่ารถถูกไปนิดนึงที่ 25,000kip ปกติขาเดียวที่ถามมาอยู่ที่30,000kip) พระธาตุหลวงตอนที่มาถึงไร้ผู้คนมาก (มาถึงเช้าจริงๆ) เราก็เดินข้ามลานมา
ก็จะเข้ามาในเขตของวัด ซึ่งจะมีอาคารตั้งอยู่รอบๆพระธาตุหลวงสามอาคาร เราก็เดินไปที่อาคารแรกทางซ้ายมือก่อน ข้างในจะเป็นที่ตั้งของพระพุทธรูป และมีงานศิลปะขายอยู่
จากนั้นเดินต่อไปด้านหลัง ไปพบอีกอาคารนึง แต่เข้าไปดูไม่ได้เลยถ่ายรูปด้านนอกพอ
แล้วก็ไปจัดการเสียค่าเข้าชมพระธาตุหลวง และแวะถ่ายรูปมุมมหาชนต่อไป
ซึ่งเราเลือกเดินออกทางด้านหลังคนละทางกับที่เข้ามา ก็จะมีตลาดขายของตั้งอยู่ด้านหลัง แวะหาข้าวโพดกินสักฝัก และเดินเลาะไปเรื่อยๆ ก็มาเจอกับพระนอน
จากนั้นก็เรียกรถเพื่อไปต่อยังประตูชัย (ถ้าอึดๆหน่อยเดินก็ได้ แต่ตอนนั้นเราคิดว่ามันน่าจะไกล ยังไม่ชินกับแผนที่ เลยดูว่าสเกลเมืองใหญ่มาก)
ประตูชัยสามารถขึ้นไปชมวิวด้านบนได้ (แต่เสียเงินค่าขึ้น) เราไม่ได้ขึ้นไปข้างบนเพราะอากาศเริ่มจะร้อน และไม่ค่อยอยากปีนๆเท่าไหร่ หลังจากหักโหมมาก่อนหน้านี้ เลยถ่ายรูปเล่นด้านล่างแทน
จากนั้นเราก็เริ่มCity walkกัน(ตามเส้นสีเขียว)
จากที่ประตูชัยเลย เดินตามถนนล้านช้างไปเรื่อยๆ ระหว่างทางจะมีร้านแลกเงินหลากหลายร้าน เรทไม่แย่มาก มีtourist informationอยู่ด้วย สามารถเข้าไปขอแผนที่ได้ เราก็แวะไปเอาแผนที่มาเพิ่ม หลังจากยกอันเดิมให้แก่สาวเกาหลีผู้ดูสับสนกว่าเราที่ประตูชัย และมีร้านเฝอที่คนเยอะมากๆที่เราพลาดไม่ได้ลอง เพราะคิดว่าจะเดินย้อนกลับมา (แต่สุดท้ายมันไกลเกินกว่าจะย้อนกลับไป)
เราเดินมาเรื่อยๆจนถึง แหล่งช้อปปิ้งชื่อดังของเวียงจันทน์ “ตลาดเช้า”อารมณ์เหมือแพลตตินั่มแต่คนและของน้อยกว่าเยอะ และเหมือนจะเป็นของที่หาซื้อที่ไทยได้ และร้านค้ายังไม่เต็มพื้นที่เช่าเท่าไหร่ ชั้นบนๆยังต้องปิดเลย เพราะไม่มีผู้เช่า
จากนั้นเดินต่อไปเรื่อยๆที่หอพระแก้วและพิพิธภัณฑ์ วัดสีสะเกด(อยู่ตรงข้ามกัน) เพื่อพบว่าปิด!…พักเที่ยง ได้เรียนรู้อย่างปวดเมื่อยเลยว่าไปลาวกินข้าวให้ตรงเวลากับคนลาว เพราะพักเที่ยงคือปิดประตูเลย ไม่ให้เข้า เราไม่รู้เลยแกร่วๆอยู่แถวนั้นแล้วค่อยตัดใจไปหาข้าวกินแล้วค่อยกลับมาใหม่
ตอนแรกเราว่าจะกลับไปกินเฝอที่คนหนาแน่นที่เล็งไว้ก่อนหน้านี้ แต่ว่าร้านอยู่ก่อนตลาดเช้าอีก ดังนั้นการเดินกลับไปกินแล้วเดินย้อนมาอีกรอบไม่ใช่ไอเดียที่ดีเลย โดยเราเลือกเดินย้อนไปอีกทาง (หันหน้าเข้าทำเนียบประธานาธิบดี เดินไปทางขวา)
แวะเติมพลังด้วยข้าวผัดหมู (กินบ่อยมากๆ เพราะไม่รู้จะสั่งอะไรดี)
และโดยไม่รู้ตัวเลยว่าร้านที่เราหาข้าวกินนั้นมาทางเดียวกับพระธาตุดำ ที่ตอนแรกเราว่าจะแวะไปแต่ว่าดูออกจะเดินย้อน และเราร้อนมากเลยตัดสินใจข้ามไป ปรากฏว่า พระธาตุดำอยู่ห่างจากร้านข้าวเที่ยงไปแค่แยกเดียว
จากนั้นก็เดินย้อนกลับมาที่หอพระแก้ว ภายในห้ามถ่ายรูป ภายในเก็บวัตถุโบราณและมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ เลยถ่ายรูปเก็บบรรยากาศด้านนอกมาเท่านั้น ขอบอกว่างานแกะสลัก ฝีมือละอียดมากๆๆๆๆจนน่าตกใจเลย
แล้วก็เดินข้ามกลับไปที่พิพิธภัณฑ์วัดสีสะเกด ซึ่งภายในห้ามถ่ายรูปเช่นกัน โดยภายในจะมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่
ทั้งสองที่นี้เป็นอะไรที่ทึ่งในภูมิปัญญามากๆ ว่าสร้างยังไงให้ภายในเย็น ทั้งๆที่ข้างนอกร้อนและแดดเปรี้ยงมากๆ ลืมไปเลยว่ามาหน้าหนาว
พอเสร็จจากทั้งสองที่เราก็มุ่งหน้าไปยัง COPE Visitor Centre ซึ่งเป็นสถานที่เที่ยวอันดับหนึ่งของเวียงจันทน์ ในTripadvisor (และมีคนแนะนำมาให้ไปอีกหนึ่งเสียง) แต่ไม่ยักเคยเห็นรีวิวถึงสถานที่นี้ แต่เมื่อมุ่งมั่นจะไปแล้ว เราก็มุ่งหน้าออกจากวัดสีสะเกดเดินเลียบถนน กลางแดดเปรี้ยงๆ ตรงไปเรื่อยๆๆๆๆๆๆ จนรู้สึกว่ามาผิดทางป่าวหว่า ทำไมไม่เห็นมีแลนด์มาร์คอะไรให้ยึดเลย (จริงๆคือยังไม่ถึงเลย) เดินตากแดดมาสักพักเราก็พบวัดนึงข้างทาง ซึ่งตอนแรกเข้าใจว่าเป็นวัดศรีเมือง เพราะเรากำลังมองหาสักวัดอยู่ เลยเดินข้ามถนนกลับไป แม้จะงงๆว่า วัดศรีเมืองควรจะอยู่ด้านเดียวกับที่เราอยู่
พอเดินข้ามไปดู ก็เจอคนลาวใจดีมาชี้ทางให้ว่า เจ้ามาถูกทางแล้ว แต่ยังเดินไปไม่ถึง ให้เดินต่อไป มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกมากๆ เหมือนจะหลง ลังเล ไม่มั่นใจ แต่แค่มีคนยืนยันว่ามาถูกแล้ว แม้จะยังไม่เห็นจุดหมายแต่ก็รู้สึกมั่นใจขึ้นมาเลย
เราเลยเดินต่อไป….อีกนิดนึงและก็เจอวัดศรีเมือง เราเข้าไปแวะพักหลบร้อน แปปนึงเพราะภายในวัดร่มรื่นมากๆ ไม่ได้เข้าไปในตัวโบสถ์ เห็นแต่ว่ามีพระมรกตอยู่ และข้างๆวัดจะมีอนุสาวรีย์เจ้าศรีสว่างวงศ์ อยู่ข้างๆ
จากอนุสาวรีย์เราเดินข้ามถนนเข้าซอยไป และตัดออกมาทะลุถนนอีกเส้น แล้วเลี้ยวขวาเดินเลียบไปเรื่อยๆ จนมาถึงเป้าหมายของวันนี้ COPE Visitor Centreซึ่งตั้งอยู่ในศูนย์ฟื้นฟู (Rehab Center) เดินเข้าไปจะมีป้ายชี้บอกทางไปชมนิทรรศการอยู่
COPE Visitor Centre เป็นนิทรรศการที่บอกเล่าเรื่องราวของชาวลาวที่ต้องอยู่ และเรียนรู้จะอยู่ร่วมกับระเบิดที่ถูกทิ้งปูพรมระหว่างช่วงสงครามเย็น ที่ยังอยู่ในลาว (ลาวเป็นประเทศที่มีปริมาณระเบิดเทียบกับประชากรสูงสุดในโลก) โดยภายในมีสารคดีให้ดูบอกเล่าเรื่องราว (เจ้าหน้าที่จะเปิดตามผู้เข้าชมไม่มีรอบฉายกำหนดแน่นอน) และรวมถึงการทำอวัยวะเทียมเพื่อช่วยในการใช้ชีวิตต่อไปด้วย
ภายในจะเป็นแบ่งนิทรรศการออกเป็นสามส่วน ส่วนแรกรู้จักความเป็นมาและประเภท ชนิดของระเบิดต่างๆ ตัวนิทรรศการใช้วิธีการนำเสนอที่มีการเล่นโต้ตอบกับคนดูบ้าง ในการเปิดหาระเบิดเสี่ยงดวง อ่านดูแล้วพบว่าลาวโดนทิ้งระเบิดแบบกระหน่ำมากจริงๆ
ส่วนที่สอง แขวนชีวิตไว้กับระเบิด และเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับระเบิด โดยนิทรรศการให้เราเรียนรู้สิ่งที่ชาวลาวต้องเจอ ในชีวิต โดยทำบ้านจำลองขึ้นมาให้เราเดินผ่านไป โดยจุดแรกจำลองภาพห้องครัว ในบ้านชาวลาว ที่กำลังจุดเตาทำกับข้าว แต่ตรงนั้นก็มีระเบิดที่ยังไม่ค้นพบอยู่ อาหารมื้อนั้นจึงเป็นอาหารมื้อสุดท้ายไปโดยปริยาย
และเมื่อเดินขึ้นไปบนบ้านจะพบข้าวของเครื่องใช้ที่ชาวลาวประยุกต์มาจากเศษวัตถุระเบิด
เมื่อเราเดินสิ้นสุดตัวบ้านเราก่อนข้าสู่นิทรรศการส่วนที่สาม เราจะพบกับเรื่องเล่าจากครอบครัวของ Hamm เด็กชายผู้ซึ่งไม่น่าจะเสียชีวิต แต่เขาก็ไม่สามารถฝืนสภาพความเป็นจริงได้
Hamm กับเพื่อนเป็นเด็กน้อยที่เห็นผู้ใหญ่แถวบ้าน มีเงินมีทองใช้จากการขายเศษโลหะของระเบิด เขาและเพื่อนจึงอยากหาเงินบ้าง ทั้งสามคนเลือกไปเก็บเศษโลหะเช่นกัน แต่ว่าHamm ไม่ได้มีเครื่องตรวจจับแบบที่ผู้ใหญ่มี และผู้ใหญ่ที่มีก็ขุดเอาระเบิดที่ยังระเบิดได้ออกมาวางกองไว้ เพราะพวกเขาเอาไปขายไม่ได้
ดังนั้นHammและเพื่อนๆจึงเป็นผู้ที่รับแรงระเบิดนี้ไปเต็มๆ เพื่อนๆเสียชีวิตไปแต่Hammยังรอด เพียงแต่บาดเจ็บสาหัส พ่อแม่ของเขารีบพาไปโรงพยาบาล เพื่อพบว่าที่โรงพยาบาล “ไม่มีเลือด ไม่มีอ็อกซิเจน” รักษาไม่ได้ พ่อแม่จึงพาเขาไปยังโรงพยาบาบที่สองเพื่อพบว่าที่โรงพยาบาล “ไม่มีเลือด ไม่มีอ็อกซิเจน” รักษาไม่ได้
และโอกาสของHammก็หมดลง เมื่อรถของเพื่อนบ้านไม่ยอมพอเค้าไปโรงพยาบาลต่อไปเนื่องจากกลัวHammเสียชีวิตบนรถพวกเขา และสุดท้าย Hammก็เสียชีวิตลง …ที่บ้านของเขา
นิทรรศการส่วนที่สามคือ ฟื้นฟูและเยียวยา โดยจะเป็นการบอกเล่าเกี่ยวกับอวัยวะเทียมที่ชาวลาวผู้ประสบเหตุหามาใช้ ไล่ไปจนถึงการจัดทำอวัยวะเทียมตามแบบสมัยใหม่
เมื่อจบจากที่นี่ เราก็หมดแรงโดยสมบูรณ์แบบ จัดการเรียกสามล้อกลับไปแถวที่พัก กลับไปจัดการเรื่องตั๋วรถไปวังเวียง (ได้ข่าวจะไปพรุ่งนี้แล้ว) จากนั้นก็ออกไปนั่งที่โจมา (ตามชื่อเสียงว่าดังกระหึ่ม แม้ส่วนตัวจะไม่ทานกาแฟก็ตาม แต่ถือว่าพักคลายร้อนไป)
จากนั้นเดินเล่นรอบๆแถวน้ำพุ ซึ่งเราว่าบรรยากาศชิว และดูชิคพอควรเลย มีร้านคาเฟ่ให้นั่งเรียงราย ร้านอาหารมากมาย มาตอนกลางคืนกับเพื่อนๆคงจะเม้าท์มอยกันสนุก
จากนั้นก็เดินทะลุซอยที่พักไปด้านหลัง ที่โผล่ที่ถนนเจ้าฟ้างุม ซึ่งปิดให้เป็นที่ออกกำลังกายของเมือง
แวะตลาดกลางคืน หาซื้อของฝาก ซึ่งราคาถูกที่สุดเท่าที่เจอทั้งทริปแล้ว ของอื่นๆในตลาดก็เหมือนตลาดนัดบ้านเรา
แวะซื้ออาหารเย็น เป็นฮอทด็อกหน้าตาน่ากินมาอันนึง (ร้านแลกเงินข้างร้านฮอทด็อกเป็นร้านที่ให้เรทเงินดีที่สุดในทริปนี้ 1บาท/246kip) ซึ่งฮอทด็อกอันนี้มีชีวิตสั้นมาก….ไม่ใช่กินเร็ว แต่กัดไปคำเดียว แล้วไส้กรอกก็ม้วนหน้าทิ่มลงพื้น ทิ้งไว้แต่ขนมปังคามือ T_T
สุดท้ายเลยกลับไปนั่งซดมาม่า และนั่งเงียบๆในช่วงไฟดับของเวียงจันทน์อีกครึ่งชม. ถึงได้ไปเตรียมตัวเข้านอน จบวันแบบร่างเกือบละลาย