วันนี้รีบออกเช้าเพื่อไปหาซื้อตั๋วรถไปเวียงจันทน์ (ได้ข่าวว่าจะไปอยู่แล้วเย็นนี้!) แล้วก็จะหารถเหมาไปวัดพูด้วย เนื่องจากความประทับใจของคนก่อนสองวันติดๆกันมันประทับใจเกินไปจริงๆ เลยเดินออกมาที่วงเวียนแถวโรงแรม และเห็นขบวนรถตู้จอดอยู่ (เป็นรถที่วิ่งระหว่างปากเซและด่านช่องเม็ก) เราก็เลยเดินไปถามคันนึงมา ตกลงราคาได้มาที่1500บาท ไม่รวมค่าทาง (คือทางไปวัดพูเป็นถนนสร้างใหม่โดยเอกชน ดังนั้นจะมีการเก็บค่าผ่านทาง200บาท/50000kip)
ทำให้เรามาถึงวัดพูเร็วมาก แทบจะเป็นกลุ่มแรกๆที่ไปเลย ก็จัดการหาร้านอาหารกิน (จริงๆมีร้านเดียวนั่นละ) มื้อเช้าวันนี้ก็มาพยายามกับเฝอเนื้ออีกรอบนึง ซึ่งก็ยังไม่โดนเท่าไหร่
จากนั้นจึงเดินไปซื้อตั๋วเข้าวัดพู ตั๋วจะมีสองแบบ แบบเดินและแบบนั่งรถกอล์ฟ ด้วยความฟิต(?) เราจึงเลือกตั๋วแบบเดิน เพื่อการชมวิวทิวทัศน์ (จริงๆคืองบจะหมดแล้ว ดังนั้นเลือกเพื่อความประหยัด)ละกันเดินไม่น่าไกลมาก พอเราเดินเข้าไปจะพบกับสระน้ำขนาดใหญ่มากอยู่สระนึง (ตามความเข้าใจจากแผ่นพับ สระนี้น่าจะคือบาราย) ก็เดินไปเรื่อยๆตามทางจนสุด
แล้วก็ไปยืนงงๆกันตรงทางเข้าว่าสระน้ำนี่คือวัดพูหรือป่าว ต้องไปต่ออีกไหม (การเตรียมตัวและหาข้อมูลนี่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินมาก ไม่รู้กระทั่งว่าวัดพูที่มาหน้าตาเป็นอย่างไร ORZ) อาจจะเพราะไปเช้าเกินเลยไม่ค่อยเห็นทิศทางการเดินของนักท่องเที่ยวเท่าไหร่ แต่สุดท้ายเราก็เดินต่อเข้าไปอีก เพราะสระน้ำไม่น่าใช่วัด
และก็เดินต่อมาเรื่อยจนถึงต้นไม้คู่ และมีปราสาทอยู่รอบๆ ก็งงกันอีกว่านี่ใช่วัดพูหรือยัง แต่ดูปิดซ่อมซะเยอะเลย ไม่รู้ว่านี่คือการพยายามรักษาสภาพ หรือว่าฟื้นฟูสภาพกันแน่ แต่สุดท้ายก็ตัดใจเดินต่อไปเรื่อยๆ
แล้วก็มาถึงพาทการปีน (อีกแล้ววว) ก็จัดการเดินๆไต่ๆปีนๆลากๆตัวเองขึ้นไป (บันไดขั้นไม่เสมอกันด้วย บางขั้นนี่สูงขนาดหน้าแข้งเลยทีเดียว)
พอขึ้นไปจนสุดเราก็จะพบกับวัดพู และพระพุทธรูปประจำวัดพู และพระพุทธรูปและอื่นๆรอบๆ
จากนั้นรถตู้ก็พาเรามาส่งที่ซื้อตั๋วรถนอนไปเวียงจันทน์และพาเราไปส่งที่ตลาด ที่จากการโฉบดูแล้วมีแต่สินค้าไทยเป็นส่วนใหญ่ ไม่มีที่เราจะซื้ออะไรได้เท่าไหร่ ยกเว้นผ้า(ที่ดูไม่เป็น)
เราเลยกลับไปเก็บของที่ที่พัก จัดการตัวเองจนประมาณบ่ายสามโมง ก็เดินทางไปวัดบนเขา (ตอนนั้นยังไม่รู้ชื่อ แต่เพื่อนดูรีวิวมาบอกมาว่าควรไป) เป็นวัดที่อยู่ตรงสะพานมิตรภาพลาว-ญี่ปุ่น จะมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่อยู่บนเขาเราก็จัดการเรียกรถสามล้อนั่งข้ามสะพานไปในทันที พร้อมกับขอเบอร์คนขับเผื่อไว้ (ตอนแรกคิดว่าจะเดินข้ามสะพานกลับ)
พอมาถึงแล้วก็พบกับมหกรรมขั้นบันได บันได บันได แม้จะเตรียมใจมาล่วงหน้าเล็กน้อย (เพราะตอนนั่งรถผ่านกลับจากวัดพูเพื่อนบอกว่าบันไดโหดมาก) แต่มาเห็นจริงๆก็มีเหงื่อแตกได้ แต่ไหนๆมาถึงแล้วต้องไปให้สุด
พอปีนบันไดขึ้นมาได้แล้วมาถึงตรงชานพัก พักชมวิวและเส้นทางที่ผ่านมา
ก็พบว่า มันยังมีบันไดที่มองไม่เห็นอีก เพียบ!!!(ผู้ชายซ่อมบันได เหมือนเค้ามาเดินดูและไล่ซ่อมและทำไปทีละขั้นจริงๆเลย แต่เดินได้ดูชิวมาก)
จนใกล้ถึงพระพุทธรูปล่ะและแวะพักชมวิวเล็กน้อย (จริงๆคือพักหายใจอย่างแรง)
ในที่สุด!!!
และก็ปีนต่อไปอีกเล็กน้อยจนไปเจอวัดด้านบน
และวิวที่ทำให้หายเหนื่อย
จากนั้นก็ไต่ลงมาอย่างเหนื่อยหอบ ในขณะที่คนลาวเดินชิวๆสบายๆขึ้นไป เหมือนว่าจะมีทางที่เอารถวิ่งขึ้นได้ เพราะเห็นมีรถชาวบ้านขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้ว่าต้องเรียกหรือบอกหรือราคาเท่าไหร่ เพราะสามล้อที่เรียกบอกว่าจะส่งถึงแค่ตีนสะพานเท่านั้น พอเราลงมาก็จัดการโทรเรียกสามล้อมารับ (พับแผนเดินข้ามสะพานมิตรภาพไปเลย) พร้อมกับถามชื่อวัดที่เราปีนขึ้นไปมา! ซึ่งสามล้อบอกปกติคนจะไปกันตอนบ่ายๆเย็นๆ (เค้าคงแปลกใจไม่น้อยว่าทำไมมาขึ้นกันตอนบ่ายอ่อนๆที่แดดแรงสุดๆ) เพราะตอนเดินลงเราเห็นคนเดินสวนขึ้นไปไม่น้อยเลย
กลับมาตายรังที่ข้าวเย็นโรงแรม ข้าวผัดหมู ซึ่งโรงแรมมีฝีมือพอสมควรเลย
จากนั้นก็นั่งรถรอเวลา จนทุ่มกว่าๆก็ออกเดินทางไปที่ท่ารถรอจนสามทุ่มครึ่งรถก็ออก และวิ่งยาวๆไปทั้งคืนเลย เราก็จัดยาคล้ายกล้ามเนื้อและหลับสบายเลย หลังจากปีนมาทั้งวันแล้ว