รถจอดครั้งที่สาม ที่ด่านช่องเม็ก ตอนประมาณ หกโมงเช้า
ระหว่างนั่งรถมา คนรถก็จัดการแจกใบผ่านแดนให้เรากรอกเข้าประเทศลาว เราก็กรอกไปด้วยควางสงสัยเบาๆ ว่าแล้วใบผ่านแดนของไทยอยู่ไหนล่ะ
ปรากฏว่าของไทยต้องขอที่ด่านตม.ตรงช่องเม็กเลย (ไม่มีวางไว้ให้ด้วย) ของเราได้เพราะเจ้าหน้าที่เอามาให้ เนื่องจากไปยืนงงๆกันหน้าด่านตม.ของไทยว่าจะต้องทำยังไง ฮ่าๆ พอผ่านตม.ไทยเสร็จก็เดินออกมา (จะเจอคนรุมขายซิมให้เต็มไปหมด ราคา100บาท ซึ่งถามคนในเมืองภายหลัง เห็นว่าปกติขายอยู่ที่ 40บาท!?!?)
แล้วก็เดินต่อมาเรื่อยๆตามทาง (รู้สึกเป็นมุมมหาชนมากๆ ต้องขอถ่ายมาสักหน่อย)
ก็จะออกมาอีกฝั่ง (ไม่รู้จะเรียกฝั่งลาวได้หรือไม่เพราะแถวนั้นมีป้ายปักว่านี่ยังไม่ใช่เขตแดนอย่างเป็นทางการ)
ซึ่งเป็นอะไรที่งงมากๆ ว่าแล้วตม.ของลาวอยู่ไหนล่ะ?? ก็เลยเดินตามลูกศรไปเรื่อยๆ ตามทิศทางที่รถจอดอยู่ และก็พบอาคารนึงด้านขวา (ตรงที่รถจอดนั่นแหละ) ตม.ที่ทำเรื่องผ่านแดนจะอยู่ด้านหลังของอาคารเลย ต้องเดินๆเข้าไปดู แล้วก็เสียค่าผ่านแดนไปร้อยนึงแบบไร้ใบเสร็จ (แม้จะเห็นคนลาวข้างๆจ่ายแค่สี่สิบก็ตาม)แล้วก็นั่งรถต่อมาเรื่อยๆจนถึงปากเซ (แม้จะมีการหยุดๆจอดๆตรวจจ่ายภาษีของคนลาวตลอดทางก็ตาม) พอรถจอดให้ลงก็จัดการเดินไปที่พัก(ตั๋วรถกลับกทม.สามารถซื้อที่ท่ารถที่ลงได้เลย)
เราพักที่โรงแรมสายลมเย็น ไม่ไกลท่ารถมาก เห็นป้ายชื่อโรงแรมตอนรถเลี้ยวผ่านพอดี ก็เลยเดินย้อนขึ้นไปเรื่อยๆ งงกับทิศทางรถวิ่งเล็กน้อย ยังไม่คุ้น ฮ่าๆ
พอเก็บของเสร็จก็ออกไปหาอะไรทาน มื้อแรกในลาวก็ต้องลองเฝอเลย จัดเฝอเนื้อมาหนึ่งที่ถ้วน
และไปจัดการแลกเงินและหารถไปน้ำตกตาดๆ (ตอนนั้นรู้แค่ว่าไปน้ำตกตาดๆ ชื่ออะไรบ้างยังจำไม่ค่อยได้ จำได้ว่าสามตาด เป็นที่ชื่อดัง) คนรถที่ได้มาคือคนที่เพื่อนเจอที่ด่าน คิดค่ารถ1500 น้ำมันแยก (ซึ่งตอนคุยกันตอนแรก เราจะให้เติมเต็มแล้วพอสิ้นวันจะเติมกลับให้ แต่เค้ากลับไม่ทำแบบนั้น มาเติมทีละนิดๆ ซึ่งเราดูตอนเติมอยู่ประมาณ400นิดๆ แต่สุดท้ายมาเก็บกับเราสิ้นวัน 800บาท โดยอ้างว่า ก่อนมาหาเราเติมไป400แล้ว ไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่ แต่ถือว่าเค้าแถมให้น้ำตกนึง)
พอเริ่มออกเดินทางไปสักพัก คนขับรถก็ถามว่า มีน้ำตกนึงไม่ได้อยู่ในลิส น้ำตกตาดE-Tu เราจะแวะไหม เราก็ตกลงแวะเข้าไป
น้ำตกแรก…..น้ำตกตาดE-Tu เป็นน้ำตกเล็กๆ ที่ทางเดินลงไปชมมหาโหดมาก เดินขึ้นลงขาสั่นเลย รู้สึกเลือดไปเลี้ยงสมองไม่ทันเลย
ลงไปถึงจะเจอน้ำตก
ถ้าอยากดูแบบใกล้ๆก็สามารถเดินผ่านแนวหญ้าเข้าไปได้ (ทางเดินมีแบบรางๆ)
ขากลับเห็นทางขึ้นก็แทบหมดแรง
จากนั้นก็นั่งรถออกไปยังน้ำตกที่สอง ตาดฟานที่เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ ที่เราได้แต่มองอยู่ไกลๆ เรียกได้ว่าแค่เห็นอย่างเดียวกับเสียงน้ำตกแว่วๆมา สัมผัสไม่ได้ ได้แต่ถ่ายแบบซูมๆเอา
จากนั้นก็นั่งรถต่อไปที่น้ำตกที่สาม ตาดเยื้อง
(ป้ายออกจะซีดไปนะ ทำให้เห็นครั้งแรกคิดว่าคงเหมือนสองที่ที่ผ่านมา ที่ยังไม่โดนเท่าไหร่)
พอไปถึงน้ำตกตาดเยื้อง จะแบ่งเป็นสองช่วง คือด้านบนและด้านล่าง ด้านบนจะออกแนวที่นั่งปิกนิค ชมวิว พักผ่อน มีน้ำให้เดินเปียกเล่น
จากนั้นเราก็เดินลงต่อไป
จนพบทางลง ที่ทำให้ความเหนื่อยจากน้ำตกตาดE-Tu ฉายภาพซ้ำขึ้นมาเลย
แต่เป็นการเหนื่อยที่คุ้มค่ามากๆ พอลงไปแล้วภาพที่เห็นมันสุดยอดจริงๆ
เราเสร็จจากน้ำตกตาดเยื้องเวลาเย็นพอควร ทำให้เรามีตัวเลือกว่าจะไปน้ำตกตาดผาส้วม หรือว่าจะไปเมืองปากซอง ด้วยความที่เราไม่รู้ตอนนั้นว่าเมืองปากซองนั่นคือการไปเที่ยวไร่กาแฟ เราก็คิดกันว่าน่าจะเป็นเมืองเล็กๆไม่มีอะไร เลยตัดสินใจไปน้ำตกตาดผาส้วมกันแทน
มาถึงแล้วก็เดินตามเส้นทางย่างป่าไปเลย
จะเจอกับน้ำตกตาดผาส้วม
พอชมน้ำตกเสร็จก็เดินออกไปชมหมู่บ้านชนเผ่า บริเวณน้ำตกมีอะไรให้ทำหลายอย่างพอสมควรแต่เราไปถึงเย็นเลยได้ชมแต่หมู่บ้านเงียบๆ
จากนั้นเดินทางกลับ แล้วก็ไปหาอะไรกินริมน้ำโขง มีร้านให้เลือกเยอะมากๆ เราก็จัดการสุ่มร้านที่บุคคลหนาแน่นมาร้านนึง ชื่อ oay/oyy สักอย่างลืมถ่ายป้ายมา ซึ่งรถชาติอร่อยใช้ได้เลย (จริงๆมีเยอะกว่านี้ แต่ว่าถ่ายไม่ทัน เหมือนพายุพัดผ่าน มานึกว่าจะถ่ายตอนหายไปครึ่งจานแล้ว)