Bromo-Kawah Ijien : ตาดูดาว เท้าติดดิน

การรอคอยมีความหมายเสมอ…

เราเพิ่งเข้าใจคำว่าการรอคอยโดยมีเป้าหมาย มันจะไม่รู้สึกเสียเวลาเลยสักนิด เพราะรูป Blue Frame และบาต๊อก สองรูปที่ทำให้เรารอคอย จะไปเยือนอินโดนีเซียให้ได้ !!  (แต่การเตรียมตัว เตรียมความพร้อมนี่สวนทางกันนะ)

จำได้เลยว่าเราเห็นรูปทริปโบรโม่คาวาอีเจี้ยนครั้งแรกๆ น่าจะราวๆปี 2013 แล้วอินโดนีเซียก็พุ่งมาติดโผ Bucket List ของเราอย่างรวดเร็วมากๆ แม้จะไม่มีความเข้าใจใดๆทั้งสิ้นเกี่ยวกับจุดหมายนี้ สามปีก่อน ยังเข้าใจว่าโบรโม่คือภูเขาเล็กๆกลางรูปอยู่เลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคือภูเขาไฟ คาวาอีเจี้ยนนี่อะไร เมื่อสามปีก่อนบอกเลยว่าไม่รู้จัก รู้แค่อยากไปเท่านั้น

ปีถัดมา 2014 เราวางแผนไว้เลยว่าต้องไปให้ได้ เราจองตั๋วกับไลอ้อนแอร์ ไปลงสุราบายาเลย แต่เลิกบินขร่ะ เราก็วืดไป แล้วก็นั่งเซ็งไปเรื่อยๆ และเพราะไม่มีตังค์ เราก็ต้องอดทนรอจนกระทั่ง ปี2015 แอร์เอเชียก็ออกโปรมา ให้จองอีกครั้ง แต่ว่าบินปี 2016 คือจองข้ามปีกันเลยทีเดียว เป็นทริปแรกที่จองยาวนานขนาดนี้

รวมๆรอไปอินโดนีเซีย เกือบๆสามปีได้ !!! (นานป๊ายยยย อันที่จริงถ้ามีเงินคงไปตั้งแต่ 2014แล้วหล่ะ)

เราไปโปรแกรมแบบห้าวัน ที่ไม่หนักมาก สบายๆ (ออกจะว่างไปหน่อยบางช่วง) ซึ่งถ้าให้แนะนำก็ควรไปราวๆนี้แหละ จะย่นให้เหลือสี่วันก็ได้ แต่นั่นคือชีวิตอย่างเหนื่อยบอกเลย

เริ่มต้นเดินทางวันแรก … มินิรีวิว คือ สนามบิน … นั่งเครื่อง … นั่งรถ จบ ! เห้ย!! เอาเป็นว่าวันแรกหลังจากมาถึงสุราบายา เราทำอะไรไม่ได้มากนัก เพราะไฟล์ท จากไทย มักจะลงตอนสองสามทุ่ม ทำได้เพียงเดินทางมุ่งหน้าไปคาวาอีเจี้ยนเท่านั้น  ข้อแนะนำในการเดินทางไปคาวาอีเจี้ยน คือเหมารถ เหมาทัวร์ไปเถอะ อย่าไปลำบากลำบนหารถท้องถิ่นเลย (ซึ่งไม่รู้จะมีหรือป่าว) ไม่นับว่าเจอคลื่นคนขับแท๊กซี่ที่สนามบินอีก เพื่อจะไปท่ารถ และนอนบนรถทัวร์ ตอนกลางคืน…ถ้าไม่ได้มีเวลาพักสักหน่อย ออกจะเป็นทางเลือกที่ทรหดเกินไปนะ

DSC07481.JPG
มื้อดึกวันแรก อร่อยใช้ได้

ตัดมาวันที่สองเลยล่ะกัน รถจากสุราบายาไปคาวาอีเจี้ยน กินระยะทางราวๆ หกเจ็ดชั่วโมงได้ มีเวลาให้นั่งหลับๆตื่นๆ ไปตลอดทาง (คือตื่นเพราะนั่งหน้า และรับรู้ทุกช่วงจังหวะที่แซง คนขับพวงมาลัยอยู่ด้านขวา แต่แซงซ้าย คือร่ะ?? แซงซ้ายก็ได้หรอ) ใครที่คิดจะประหยัดเวลาด้วยการนอนบนรถ บอกเลยคิดผิด มันไม่ได้สบายขนาดนั้น แต่ถ้าไหวจัดเลย แต่ทางที่ดีควรมี เวลานอนพักบนเตียงสักหน่อย

หลังจากนั่งหลับๆตื่นๆมาบนรถตลอดทาง เราจะมาถึงคาวาอีเจี้ยนตอนเช้า ด้วยความสัตย์จริง แถวนั้นมันไม่มีอะไรเลย ให้เชื่อเถอะว่าไกด์ทั้งหลายได้พยายามหาที่เที่ยวมาให้ฆ่าเวลาเล่นแล้ว เป็นสถานที่แบบ เราไปไม่ไปก็มีค่าเท่ากัน ไม่ได้ก่อให้เกิดความรู้สึกเสียดายอะไร

ที่แรกที่ไกด์จะพาเราไปฆ่าเวลาคือ ทะเล!! เย้ ไปทำกิจกรรมยอดนิยมของนักท่องเที่ยว คือ…ไปดูพระอาทิตย์ขึ้น ซึ่งก็คือพระอาทิตย์ขึ้นนั่นแหละ แบบทั่วไป ตามชายหาดของไทย มันน่ามีการสำรวจจริงๆนะ ว่าระหว่างดูพระอาทิตย์ขึ้น กับดูพระอาทิตย์ตกอันไหนเป็นกิจกรรมยอดนิยมกว่ากัน ไปเที่ยวไม่ทำไรก็ดูพระอาทิตย์ขึ้นๆลงๆนี่แหละ

DSC07486.JPG

ที่ถัดมาคือ ภูเขาไฟที่ดับแล้ว !! เย้ ปีนขึ้นเนินไปดูวิวรอบๆ (ที่เฉยๆ) ส่องวัวจากระยะไกลๆ (ที่ไม่ได้เอาเลนส์ซูมไป) และเจอแก๊งค์คนอินโดเขาลูกข้างๆยิงพลุมาทางอิชั้น (คือร่ะ)

DSC07495.JPG

จากนั้นก็ไปน้ำตก Blawan (ที่เฉยๆ) ให้เดินเข้าไปดู และ เล็งถ่ายใบไม่ใบหญ้า ละองงน้ำ ตะไคร่ มอส แถวๆนั้น คือรูปสวยมากนะ เท่าที่ดูไป…จนสงสัยว่าไปถ่ายกันตรงไหนมา

DSC07511.JPG

จากนั้น ไกด์ก็พาเราไปเช็คอินที่ที่พัก เป็นที่แรกที่เราพบนักท่องเที่ยวคนอื่น ฮูเร่! จากตอนแรกที่สงสัยว่า มันไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยวหรือป่าวนะ ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวเลย พอไปแวะภูเขาไฟกับน้ำตกมา ก็เข้าใจได้ว่า มันไม่มีอะไรไง นักท่องเที่ยวก็คงหลบอยู่ในที่พักกัน นอนพักผ่อนเอาแรง

DSC07603.JPG

ซึ่งที่พักแถวนั้น ที่ดังๆในหมู่นักท่องเที่ยวไทย จะมีแค่สองที่ เราได้พักที่อะราบิก้า สภาพห้องแบบทั่วไป อย่าคาดหวังมาก แต่เท่าที่อ่านรีวิวมา เค้าว่าเส็งเคร็งทั้งคู่…พอเรามาแล้วก็รู้สึกว่าอะราบิก้าเส็งเคร็งจริง ป่าว ไม่ใช่ห้องหรอก อาหารต่างหากเส็งเคร็ง ห่วยแตกมาก ให้เลเวลห่วยแตก เพราะทั้งโรงแรม มีเมนูอยู่หกอย่าง และคือขายอย่างนี้อย่างเดียวมานานแล้ว แต่ก็ยังทำออกมาห่วยไป สี่อย่าง พอทนอีกสองอย่าง…การทำซ้ำบ่อยๆ ไม่ก่อให้เกิดการเรียนรู้ใดๆทั้งสิ้น ไม่เชื่อมาชิมเลย

DSC07604.JPG

จากนั้นก็ สโลว์ไลฟ์ วิถีอินดี้ ฮิปสเตอร์ขร่ะ ลงไปเดินวนรอบหมู่บ้าน เดินชมนก ชมไม้ พืชผักสวนครัว ทุกบ้าน เด็กเล่นว่าว วนไปวนมาก็ไม่มีอะให้ทำอีกละ

DSC07600.JPG

กลับมานั่งรอกินข้าวเย็นที่โรงแรม ซึ่งความพีคอยู่ที่ อยู่ดีๆ แม่ครัวก็บอกว่าตอนนี้เป็นรอมฎอน ต้องรอให้พระอาทิตย์ตกก่อนถึงจะกินข้าวได้…..แล้วที่เรากินไปตอนเที่ยงนั่นคืออัลลัยยยย แต่ก็นั่นแหละ ในเมื่อโรงแรมไม่มีการเรียนรู้เรื่องการทำอาหาร เราก็มีการเรียนรู้เรื่องการสั่งอาหารกินแทนก็ได้ แล้วก็นอนหลับไปตั้งแต่เย็น เพราะอดทนไม่ยอมนอนดีๆ ตั้งแต่มาถึง เอาให้เหนื่อย แต่ไม่นอนเล่น เพื่อจะได้หลับตอนเย็นได้เร็วมากๆ

DSC07631.JPG

และเราก็ตื่นมาตอนเช้ามืดมาก จริงๆต้องเรียกว่าดึกมากมากกว่า ประมาณตีหนึ่ง แล้วก็ออกเดินทางไปคาวาอีเจี้ยน นั่งรถหัวโยกไปเรื่อยๆ แล้วก็ลงเดิน ซึ่งทางเดินโดยรวมๆ คือไม่ได้ลำบากอะไร ลำบากแค่ตรงที่มันชันนี่แหละ เดินขึ้น เหนื่อยก็หยุด แล้วก็ไต่ไปเรื่อยๆ น่าจะราวๆสองชั่วโมงได้ การเดินขึ้นไปนี่ช่วยสะลัดความหนาวได้เป็นปลิดทิ้งเลย แต่อย่าหยุดนะ จะเริ่มหนาวเลย พอเดินมาจนสุดเราจะมาถึงยอด…..เพื่อเดินลงไปอีกที…..จริงๆ ข้างล่างไม่ให้ลงนะ แต่ดูจากนักท่องเที่ยวทั้งหมดแล้ว ไม่รู้เลยว่าไม่ให้ลง เดินตามๆกันลงไปเป็นแถว เพื่อไปดูบลูเฟรม

DSC07699.JPG

บลูเฟรมคือ กำมะถันที่เผาไหม้เป็นสีน้ำเงิน ให้นึกถึง เวลาจุดไฟแช็คแล้วเห็นสีฟ้านั่นแหละ อารมณ์นั้น แต่มาดูที่คาวาอีเจี้ยนเราจะได้ ควันกำมะถันลอยมากระแทกหน้า ติดกลิ่นบนเสื้อผ้าหนาแน่นไปหมดเป็นของแถมอีกอย่าง ข้อแนะนำคือ ไม่ต้องลงไปจนสุดหรอก มันจะมีแท่น แท่นนึงอยู่ก่อนถึงจุดที่กำมะถันเผาไหม้ ที่…..เห็นบลูเฟรมชัดมาก และควันไม่รมหนักมาก การลงไปใกล้ๆ เราจะเห็นแต่ควันเป็นหลัก ส่วนบลูเฟรมจะโผล่มาเป็นช่วงๆ ตอนที่ลมพัดควันไปหาคนข้างบน อิอิ

คำแนะนำ สำหรับคาวาอีเจี้ยน คือ ตอนเดินขึ้นคือไม่ต้องรีบมาก เดินชิวๆ ให้มาถึงยอดราวๆ ตีสี่แล้วไต่ลงไปดูบลูเฟรมและ ขึ้นมาเกือบๆหกโมง จะได้ทันดูพระอาทิตย์ขึ้นพอดี เพราะลมบนปากปล่องตอนรอพระอาทิตย์ขึ้นนี่คือโหดของจริง หนาวก็ตรงนี้แหละ

ตาดูดาวเท้าติดดิน คือนิยามตอนเราเดินขึ้นคาวาอีเจี้ยน โดยเฉพาะตอนอยู่บนปากปล่อง ก่อนลงไปดูบลูเฟรมคือสุดยอดมาก ดาวเต็มท้องฟ้าเลย รักมาก คุ้มค่าความเหนื่อยเลย เรารักดาวที่คาวาอีเจี้ยน แต่บลูเฟรมของจริงกลับไม่ตราตึงเท่ารูปที่เราเห็นและวาดฝันจะมาเห็นตลอด

DSC07674.JPG

จากนั้นก็นั่งรถกลับที่พัก อาบน้ำ ขัดตัว แต่กลิ่นกำมะถันก็ยังติดตัวไปอีก แม้จะน้อยลงไปหน่อย แล้วก็นั่งรถยาวๆ ไปที่โบรโม่เลย เราเลือกพักที่โบรโม่ ลาวา วิว ลอด์จ ที่พักเดียวที่สามารถเห็นโบรโม่ได้ คือมันอยู่ลึกสุดนั่นเอง พูดถึงที่พัก โดยรวมๆคือก็อยู่ในระดับที่ใช้ได้หละนะ ไม่แย่อะไร ดีกว่าอาบิก้าขึ้นมา แต่!!! อาหารคือเลอค่าดีงามกว่ามาก! ราคาไม่แรงด้วย

DSC07794.JPG

จากนั้นเราก็นอนและตื่นเช้าอีกที ราวๆตีสาม เพื่อนั่งรถหัวโยก (อีกแล้ว) ไป…..แต่นแต๊น ดูพระอาทิตย์ขึ้นขร่า จะทำอะไรได้ละ นั่งรถมาถึงก็เดินนิดเดียวละไปยืนตากลมรอพระอาทิตย์ขึ้น สิ่งที่เลอค่าที่สุดคือ ที่นี่ก็ดาวเต็มฟ้าอีกแล้วววววว รอไปจนพระอาทิตยืขึ้น ก็ต้องบอกว่า สวยงามสมการรอคอยจริงๆ มันตะลึงมาก เราใช้เวลาไปเรื่อยเปื่อย จนเป็นกลุ่มเกือบสุดท้ายที่ลงมาเลย มันประทับใจจริงๆ รอมาสามปี มาเจอวิวนี้นาทีเดียวก็คุ้มค่าการรอคอยแล้ว…..

DSC07866.JPG

DSC07900.JPG
มุมมหาชน

แล้วก็นั่งรถหัวโยกลงไปที่โบรโม่ รถจะจอดด้านหน้า เพื่อให้เราเดินเข้าไป จะขี่ม้าก็ได้ถ้าขี้เกียจเดิน ก็เดินเข้าไป เมื่อยนิดหน่อยถ้าไม่ออกกำลังกายมา แต่เบากว่าคาวาอีเจี้ยนเยอะ แล้วก็ปีนขึ้นไปบนปากปล่องขร่ะ ทีเด็ดอยู่ตรงที่การเดินไปจนสุดปลายปากปล่อง มีความเสียวเบาๆ แต่วิวคือเลอค่าอลังการมาก คนน้อยด้วย

DSC07971.JPG

จากนั้นเราก็นั่งรถหัวโยก(มาก) ไปที่ทุ่งหญ้าด้านหลัง จำไม่ได้ว่าไกด์พาไปดูอะไร แต่ มันเป็นฉากหลังที่เลอค่าเหมาะแก่การถ่ายรูปกับรถจี๊บที่ไกด์ขับพาเราเข้ามามาก เราไปถ่ายรูปกับทุ่งหญ้าประมาณห้ารูปและรัวอีกเป็นสิบกับรถจี๊บ ฮ่าๆ

DSC08035.JPG

จากนั้นขากลับนี่คือความมันส์ละ โยกขึ้น โยกลง จนกลับมาที่พัก และก็เกือบเลยเวลาเช็คเอาท์ จนเราขอให้ไกด์ช่วยคุยกับที่พักให้เราอาบน้ำก่อน แล้วก็แวะน้ำตก Madakaripura ตอนฝนตกเบาๆ ขร่ะ…. ความสนุกของการแวะน้ำตกคืออะไร ในเมื่อเจ้าหน้าที่คุมเข้มมาก คนจะลงไปต้องมีคนเดินขึ้นมาก่อน ละพี่ก็ถือวอคุยกัน พร้อมมองไปที่น้ำตกด้านบนตลอดเวลา เพราะก่อนหน้าฝนตกเบาๆ ฝนตกหนักได้ตกไปก่อนแล้ว จบการแวะน้ำตกแบบเปียกเล็กน้อย และไม่ค่อยประทับใจ

DSC08113.JPG

แล้วก็นั่งรถยาวๆไปสุราบายา แวะเดินห้างในเมืองของอินโดสักหน่อย อารมณ์เหมือนห้างสมัยเก่าของไทย ที่ไม่เก่ามาก แต่ไม่ใช่อารมณ์โมเดิร์นจ๋าอะไรแบบในสยาม แล้วกลับที่พักนอน และตื่นไปขึ้นเครื่อง…..โรงแรมแทบจะติดสนามบินเลยค่ะ สภาพโอเครเลย ห้องกว้างมาก….อย่างไม่จำเป็น และพบว่าไลอ้อนแอร์ที่อินโดนั้นตรวจน้ำหนักกระเป๋าแฮนด์ แคร์รีย์ละเอียดกว่าที่ไทยเยอะชั่งจริงเลยจ่ะ