Lilet Never Happened

หนังเรื่องที่สามของเทศกาลหนังยุโรปคราวนี้ หนังจากเนเธอร์แลนด์

140630 Lilet Never Happened

เป็นหนังที่บอกเล่าเรื่องราวของเด็กสาวในสลัมแห่งหนึ่งของฟิลิปปินส์ที่หันเห(?)ไปสู่การเป็นโสเภณีเด็กและเหตุการณ์ต่างๆก็พากันเกิดขึ้น จนไปถึงจุดจบที่เศร้าใจ

หนังเล่าเรื่องของเด็กหญิงคนนึงนามว่าลิเลต ที่มีชะตาชีวิตอย่างซวยตามพล็อตละครไทยเรื่องพ่อเลี้ยงลูกเลี้ยงเลยเพียงแต่ลิเลตไม่โชคดีเท่านางเอกละครไทยเท่านั้น

เพราะลิเลตถูกพ่อเลี้ยงข่มขืนและนอกจากนั้นแม่ของลิเลตเองก็พยายามจะขายลูกกินให้ไปนอนกับผู้ชายแก่ๆ ซึ่ทั้งหมดนี้ก็เพียงพอแก่การผลักให้ลิเลตต้องหนีออกไปอยู่บนถนน(แถมแม่ไม่ตามหาด้วย เอ้อ!) จนถูกจับ และได้มิชชั่นนารีมาช่วยเหลือประกันตัวออกมา กลับไปบ้านและลิเลตก็มาแอบๆอยู่ที่ศูนย์พัฒนาเยาวชน

แต่…….!!! แม่ของลิเลตก็มาตามอาละวาดให้กลับบ้านไม่ปล่อยให้ลิเลตอยู่ที่ศูนย์เยาวชน แถมไม่ยอมรับอีกว่าสามีข่มขืนลูกตัวเอง จนลิเลตต้องหนีไปอยู่บนถนนอีกครั้งและสุดท้ายไปจบที่ซ่องที่พี่สาวทำงานอยู่

จากการช่วยงานในร้านเล็กๆน้อยๆ ไล่ไปถึงการเสิร์ฟน้ำ พัฒนากลายมาเป็นโสเภณีเด็กไปเลย ท่ามกลางความผูกพันที่เริ่มมีกับคนในซ่องที่เปรียบเสทือนเป็นครอบครัวเดียวที่เหลืออยู่ของเธอ…..จนกระทั่งมิชชั่นนารีที่เคยช่วยจากคุกมาเริ่มระแคะระคาย ตามหาและนำไปสู่การแจ้งตำรวจ จนซ่องทลายทุกคนแตกรังมีแค่ลิเลตกับอลิซ(ที่นางรักและผูกพันมากๆหนีไปได้) ทำให้ทุกคนในซ่องโทษลิเลต ทำให้ลิเลตไประเบิดอารมณ์ใส่มิชชั่นนารี

ซึ่งตัวลิเลตเองเมื่อซ่องที่เป็นเหมือนบ้านถูกทลายไป ตัวเธอเองคงอ้างว้างมากๆ แต่โชคยังดีที่ในวันที่ลิเลตอ้างว้าง อลิซก็ยังอยู่ ยังเป็นห่วงลิเลตเสมอ (ข้อความที่ส่งมาในมือถือแค่ถามว่าอยู่ไหน แม้ไม่ได้ออกตามหาก็ทำให้ลิเลตไม่เดี่ยวดาย)

หลังจากนั้นทั้งคู่คงเคว้งคว้าง แต่ก็มีลูกค้าเก่าเข้ามาลิเลตก็ผลักให้อลิศเพราะรู้ว่านางต้องการเงินมากกว่า แต่ด้วยความเบื่อหรือเหนื่อยหรืออะไรสักอย่าง ทำให้สุดท้ายอลิซก็เลือกการฆ่าตัวตายเป็นทางออก ซึ่งทำให้โลกใบเดียวของลิเลตพังทลาย จนเมื่อลิเลตย้อนกลับไปเอาชุดที่อลิซตัดให้มาใส่แก้คิดถึง แต่ก็ดันมาเจอตำรวจจอมหื่นเข้าจับ และลากชุดไปมา ยิ่งทำให้ลิเลตสะเทือนใจมากเลยเอามีดแทงตำรวจตาย

อาจจะด้วยทุกอย่างที่ผ่านมา ที่เกิดขึ้นทำให้สุดท้ายลิเลตจิตหลุดลอยอยู่ในโลกแห่งความฝัน…..

อาจจะเพราะโลกความจริงโหดร้ายกับลิเลตเกินไป หรือไม่ก็เพราะในความฝันเราสามารถไปได้ไกลเท่าที่ใจต้องการ

ตัวหนัง

หนังใช้วิธีเล่าแบบกึ่งประวัติชีวิต เล่าว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ไม่รู้เป็นที่สไตล์การเล่า หรือสไตล์แบบหนังยุโรปที่อยู่ๆก็มา หรือจงใจ แต่การเล่าเรื่องเหมือนเล่าเป็นช่วงๆของชีวิตมากกว่า มันไม่ค่อยต่อเนื่องกันว่าเพราะอะไรถึงส่งผลให้เกิดอะไร อาจจะเพราะทำมาจากเรื่องจริงที่ไม่ได้อยากแต่งเติมให้ดราม่ามากก็ได้ เลยเลือกเล่าเป็นช่วงๆไป ดูรู้เรื่องไหมก็รู้เรื่องรู้ประวัตินะ แต่สนุกไหมก็เฉยๆ แต่ช่วงท้ายๆอารมณ์สะเทือนใจและดราม่าดีมากเลย นักแสดงเด็กเล่นดีจริงๆ

ตัวละครและความสัมพันธ์

ตัวเอก”ลิเลต”

คือไม่รู้ว่าตัวจริงมีนิสัยยังไงแต่ในหนังนี่ มาเป็นลูกเป็นหลานตบหัวทิ่มเลย คือกวนมาก ทำแต่สิ่งที่อื้อหือออ แต่ก็พออภัยว่าสภาพแวดล้อมที่อยู่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ไม่มีใครสอนเรื่องควรไม่ควร อะไรดีไม่ดี มีแต่การเอาตัวรอดๆโดนไม่สนวิธีการ แถมเจอพ่อเลี้ยงแย่ๆอีก (คือแม่งมีทุกประเทศเลยหรอ ที่ต้องข่มขืนเด็กเนี่ย)

แต่ตัวเด็กเองก็มีความน่าสงสารอยู่ในบางมุม ตรงที่ว่าชีวิตจริงมันอาจจะเลวร้ายมาก จนเด็กเลือกที่จะอยู่ในความฝัน จริงๆมันคือฝันใสๆแบบเด็กๆเลย แต่บางอย่างในหนังทำให้รู้สึกได้ว่าลิเลตต้องการให้เป็นความจริง อย่างน้อยๆก็เรื่องพ่อล่ะ แต่หนังไม่เน้นมุมนี้เท่าไหร่

กลับเน้นเรื่องความอวดดีกร้านโลกไม่ยอมคนของเด็กเป็นส่วนใหญ่ อาจจะเพราะต้องรีบโตเพื่อเอาตัวรอดในสังคมอันโหดร้ายก็ได้มั้งที่ผลักดันให้ลิเลตมีบุคลิคแบบนี้ คือถ้าเป็นผู้ใหญ่มันคงดูเข้ากัน แต่พอเป็นเด็กมันทำลายความใสๆไปหมด ทำให้ลิเลตเองไม่น่าสงสารในแง่ของการที่ต้องเผชิญเรื่องแบบนี้ เพราะส่วนนึงก็ฝักใฝ่เองด้วย โดยยังมองการกระทำของตัวเองเป็นเรื่องที่ดีและพยายามทำให้เด็กในศูนย์พัฒนาแย่ลง เป็นอิทธิพลในทางลบกับคนอื่นๆ (อาจจะไม่ได้ตั้งใจแต่ไม่รู้มากกว่า)

ความสัมพันธ์กับอลิซ

ความสัมพันธ์ของลิเลตกับอลิซออกมาในแนวที่ทั้งคู่น่าจะเป็นส่วนเติมเต็มให้แก่กัน เพราะอลิซมีลูกสาวที่อายุรุ่นเดียวกะลิเลตแต่ไม่มีโอกาสได้อยู่ดูแลและเลี้ยงดู ต้องออกมาหาเงินเพื่อเป็นค่าเลี้ยงดู และลิเลตเองก็ไม่เคยมีแม่ที่ดีและปกป้องตัวเอง ทั้งคู่จึงเหมือนมาเติมส่วนที่ขาดให้แก่กัน และทำให้ลิเลตผูกพันกับอลิซมากกว่าพี่สาวตัวเองอีก (ดูได้จากประโยคตัดพ้อของพี่สาว และการที่ลิเลตเลือกชวนอลิซออกไปเดินชอปปิ้ง หรือการที่อลิซเล่าเรื่องของตัวเองให้ฟัง ทำชุดให้ หรืออย่างที่อลิซเสียใจที่ไม่สามารถปกป้องลิเลตได้ หรือการที่อลิซจะส่งจดหมายให้ลูกสาวก็ยังอยากแชร์ช่วงเวลาดีๆกับลิเลต เรียกว่าสัมผัสความเอ็นดูผูกพันระหว่างทั้งคู่ได้เลย)

การสูญเสียอลิซน่าจะมีผลแรงกว่าการถูกขับไล่จากกลุ่มโสเภณีอีก เพราะวันที่โดนไล่ลิเลตก็ยังมีอลิซคอยเป็นห่วง (จากการส่งข้อความหา) แต่วันที่ไม่มีอลิซลิเลตก็ไม่เหลือใครแล้ว

เอาจริงๆคิดว่าส่วนนี้เป็นส่วนที่หนังแตะเบาๆ แต่ความดราม่าน้ำตากระฉูดมาก ทำได้ดีมาก คือไม่ได้เล่าเยอะนะ มาเป็นฉากเบาๆเล่านิดๆ แต่พอมารวมช่วงพีคตอนจบแล้วนี่อูยยยย

ความสัมพันธ์พี่น้อง

จริงๆคงไม่ราบรื่นมากนักแต่น้องอย่างลิเลตก็ต้องมาพึ่งแม้ไม่ชอบเพราะที่บ้านแย่จริงๆ โดยที่น้องก็คิดว่าพี่รู้เรื่องพ่อเลี้ยงแล้วยังทิ้งให้ตัวเองต้องเผชิญอีก ไม่มีการเตือนด้วย คงเหมือนว่าก็เกลียดนะ แต่เกลียดน้อยกว่าแม่และพ่อเลี้ยง ส่วนพี่เองก็คงคิดว่าหนีออกมาเพื่อให้พ่อเลิกกระทำกับตัว คงคิดไม่ถึงว่าน้องจะโดนด้วย(พี่ก็มีอาการตกใจและเสียใจตอนที่รู้ครั้งแรกอยู่)

คือส่วนนี้ดูเป็นความสัมพันธ์ที่อึดอัดกับทั้งสองน เพราะสุดท้ายทั้งคู่ก็มึนๆตึงๆกันและก็ไม่มีโอกาสได้ปรับความเข้าใจกันอีกเลย มันเลยทำให้ดึงความดราม่าออกมาไม่ได้เท่าไหร่ ออกมาแค่การทะเลาะ แล้วก็กลายเป็นเลิกสนใจกันไปเลย (ตอนที่พี่ไม่ตอบคำถามและเดินหนีลิเลต ที่ไปเยี่ยมที่คุก)

ส่วนนอกเรื่อง : ประเด็นที่น่าสนใจของหนังเรื่องนี้

ประเด็นแรก ความคล้ายคลึงของฟิลิปปินส์กับประเทศไทย

ฟิลิปปินส์มีลักษณะคล้ายประเทศไทยมาก การคอร์รัปชั่นของเจ้าหน้าที่ สินบน ส่วยว่ากันไป ยัดเงินเปิดซ่องได้ ถึงได้ทำให้มีโสเภณีเด็กเกิดขึ้นมา เอาจริงๆเจ้าของร้านก็มีศีลธรรมอยู่ตอนแรก รับมาเป็นเด็กช่วยงานในร้าน แต่ศีลธรรมก็ถูกสั่นคลอนด้วยอำนาจเงินอยู่ดี

หนังทำออกมาในมุมที่ฝรั่งในฟิลิปปินส์เองก็เป็นตัวส่งเสริมอุตสาหกรรมโสเภณี ใครจะมีเงินจ่ายค่าตัวได้มากๆล่ะ? ใครที่มีเงินจ่ายมากพอให้แม่เล้ายอมขายเด็ก? และแขกในร้านทั้งเรื่องก็เป็นฝรั่งเสียส่วนมาก และโสเภณีก็อยู่กับความฝันว่าฝรั่งจะเอากลับไปที่ประเทศตะวันตกด้วย

ประเด็นที่สอง การเข้ามายุ่งของมิชชั่นนารีอเมริกันและมนุษยธรรม?

ส่วนตัวมองการเข้ามายุ่งของมิชชั่นนารีอเมริกันได้สองมุม

มุมนึงคือมีมนุษยธรรม ช่วยเด็กให้หลุดพ้นจากสภาพเลวร้าย โสเภณีเด็กไม่ดีจริง แต่คำถามที่สงสัยในใจคือ

– การที่ตัวมิชชั่นนารีเองก็ไม่มีสิทธิในตัวลิเลตที่จะให้มาอยู่ที่ศูนย์ สุดท้ายลิเลตก็ต้องกลับไปอยู่บ้าน ที่ก็เลวร้ายไม่ต่างกัน คือการช่วยลิเลตออกมาจากซ่องมันดีจริงหรอ? ไม่ได้ส่งเสริมการค้าประเวณีเด็กนะ เพียงแต่อยู่บ้านเด็กเองก็โดนไม่ต่างกันเท่าไหร่ แล้วก็วนเข้าอีหรอบเดิม หนีออกจากบ้าน ติดคุก ประกัน กลับบ้าน หนีออกจากบ้าน

– ตัวลิเลตเองก็ไม่ได้ดูพร้อมจะอยากได้ความช่วยเหลือเลย ออกจะอวดดีด้วยซ้ำไป และตัวนางเองเป็นคนเดินเข้าสู่เส้นทางนี้เอง อาจจะเพราะไม่มีทางเลือกด้วยส่วนหนึ่งและไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เป็นอยู่มันไม่ดีต่อตัวลิเลตเองเลยเกิดการต่อต้าน

เพียงแต่สงสัยในเรื่องการช่วยเหลือของมิชชั่นนารี การจัดการแบบชาติตะวันตก ที่เอาตำรวจเข้าไปจัดการอย่างเด็ดขาด การเลือกทางที่ดึงเด็กออกมาเลย โดยที่ตัวเด็กเองไม่ได้เข้าใจ ไม่มีความรู้สึกสักนิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำอยู่มันแย่ คือสุดท้ายตัวเด็กเองก็แค้นและสาบส่งมิชชั่นนารีเหมือนกัน(อย่างที่เอาหินมาขว้าง)

คือมิชชั่นนารีต้องการดึงเด็กมาอยู่ในที่สว่าง แต่ดันลืมไปว่าครอบครัวและโลกทั้งใบของเด็กอยู่ในที่มืด การเปิดไฟส่องไป ทำให้ทุกคนแสบตา แล้วเด็กโดนผลักไสออกมาจากคนที่เค้าผูกพัน? เพียงเพราะทุกคนแสบตา ผลักมาอยู่ที่สว่าง ทั้งๆที่ใจอยากอยู่ที่มืด มันคือความหวังดีจริงหรอ

แน่นอนพ้นจากชีวิตโสเภณีเด็กมันดีอยู่แล้ว แต่กระบวนการผ่านพ้นออกมานี่สิ ทำแบบมิชชั่นนารีที่มาตรฐานศีลธรรมสูงมันดีจริงๆหรอ??

เพราะการพังโลกทั้งใบของลิเลตที่มิชชั่นนารีทำก็เป็นจุดเริ่มต้นไปสู่เหตุการณ์มากมายและบทสุดท้ายที่เจ็บปวดของลิเลตเองเหมือนกัน เลยไม่แน่ใจว่าการกระทำของมิชชั่นนารีเป็นเรื่องที่ดีจริงๆหรอ??

พอคิดๆดูแล้วมันให้อารมณ์เหมือนเรื่องการใช้แรงงานเด็กเลย ที่เราทุกคนบอกห้ามมมม ใช้แรงงานเด็กนะ เพียงแต่เด็กบางครอบครัวถ้าไม่ทำงานก็ไม่มีกินนะ(ถ้าครอบครัวพอมีเหลือเงินบ้าง ยังไงคงไม่มีใครสั่งใช้แรงงานลูกมั้ง) คือเหมือนเราแก้ปัญหาเอาง่ายๆแค่ตรงที่ว่าเด็กห้ามทำงานจบ

ต้นทุนบริษัที่สูงขึ้น ราคาสินค้าที่แพงขึ้น ที่อาจจะส่งผลให้ค่าครองชีพสูงขึ้นมองข้ามไป

เด็กไม่มีรายได้ ครอบรัวเด็กไม่มีกิน มองข้ามไป

มันจะมีทางไหนที่เหมือนประนีประนอมไหม อาจจะปรับสภาพการทำงาน ค่าจ้างของเด็กให้เหมาะสมขึ้นได้ไหม ให้มันเหมาะกับสภาพสังคมและเศรษฐกิจจริงๆประมาณนี้

ย้ำอีกทีว่าไม่ได้ส่งเสริมการค้าแรงงานเด็กหรือโสเภณีเด็ก เพียงแต่คิดต่อจากข้อโต้แย้งที่เคยได้ยินมาหรือจากตัวหนังที่ได้ดูมาเท่านั้น ถ้าในความเป็นจริงเป็นการบังคับจับเด็กลักพักมาทำอันนั้นไม่สมควรและควรกวาดล้าง แต่ในกรณีที่เด็กเองเป็นผ่ายเดินเข้าไปสู่การใช้แรงงานหรืออาจจะหลุดไปในระบบโสเภณีเนื่องจากความจำเป็นอะไรบางอย่าง (เพราะตัวลิเลตเองก็หางานอย่างอื่นทำไม่ได้เนื่องจากความเป็นเด็กเหมือนกัน) เราจะทำอะไรได้ไหมที่เป็นการประนีประนอมบางอย่าง หรือเราต้องกวาดล้างและห้ามทุกอย่างเป็นทางเลือกเดียวเท่านั้น?